|
![]() |
:: บทเพลงประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต :: เพลงที่ 37 วันมหาวิปโยค |
ประวัติหลวงปู่มั่น ตอนที่ ๓๗ ทำนอง : ธรณีกันแสง พอรู้กันว่าท่านสิ้นลมความทุกข์ตรมก็แผ่ไพบูลย์ ความตีบตันโศกสันต์เพิ่มพูน ความอาดูรโหมใส่ไม่เว้น เข้ารุมสุมทรวงพระเณร เหมือนใจจะขาดกระเด็นดิ้นดับลับชีวี มืดมนอนธการน้ำตาพลันไหลปรี่ อัดอั้นในฤดีชีวีแทบแหลกสลาย -ดนตรี- คืนวันมหาวิปโยคโศกอาลัย จิตใจว้าวุ่นขุ่นเป็นตม โกลาหลอลหม่านทุกท่านหมองตรม บ้างเป็นลมล้มลงสลบไสล ดังขาดดิ้นสิ้นใจ ด้วยแสนอาลัยจนเหลือคณา -ดนตรี- ยามชำเลืองไปเห็นองค์ท่านนอนนิ่งนานสงบทีไร หยาดน้ำตาหลั่ง ย้อยฟูมฟายพรูพรั่งพรายไหลหยดทุกครา ให้เศร้าซึมทรวงแสน ทรมาอุราจะแตกพลัน ตื้นตันเหว่ว้าอาดูร ดังชีพสลายขาดหายมลายเป็นจุล ว้าวุ่นประดังไปทั้งราตรี -ดนตรี- แล้วเปลี่ยนเป็นทำนอง --บังใบ ดังดวงประทีปสว่างไสว เจิดจ้าแจ่มใสประดับดวงใจดับวูบลับไปแล้วไม่คืนหวนมา -ดนตรี- เย็นยะเยือกในอุราโอ้ราวกับว่าถูกเขาวางยาสลบไม่ฟื้นทั้งคืนง่วงงุ่นแสนทารุณเหลือดี -ดนตรี- เหมือนโลกธาตุขาดลงเป็นผงธุลี สติสตังไม่มีให้พอได้เกาะอาศัย อำนาจของความเสียใจ มิมีสิ่งไหนเทียบกัน แอบสะอื้นตื้นตันแสนจาบัลย์เศร้าสร้อย ให้พลอยแต่ครางครวญ กว่าจะคิดทบทวนในธรรมที่ท่านสอนไว้ ปลดปลงลดลงมาได้ เหมือนตายอยู่หลายชั่วโมง -ดนตรี- -พูด- บรรยาย ประวัติหลวงปู่มั่น ตอนที่ ๓๗ คืนนั้นกว่าจะข่มใจและมีสติได้ ก็ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่ จึงพอผ่อนคลายได้บ้าง ส่วนศพของท่านนั้นทั้งฝ่ายพระผู้ใหญ่และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ต่างเห็นต้องกันว่า ควรเก็บไว้จนถึงเดือน ๓ ข้างขึ้นต้นปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ค่อยถวายฌาปนกิจศพท่าน ระหว่างก่อนจะถึงวันงานอีก ๓ เดือน พระเณรและประชาชนต่างทยอยมาเคารพบูชาศพท่านไม่ขาดสาย พอจวนวันงานจะมาถึงยิ่งล้นไหลกันมาทุกทิศทุกทางทั้งใกล้และไกล งานนี้ไม่มีมหรสพใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นงานกรรมฐานล้วนๆ งานนี้มีกำหนด ๓ คืนกับ ๔ วัน ซึ่งเริ่มตั้งแต่ขึ้น ๑๐ ค่ำเดือน ๓ ไปจนถึงขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๓ เครื่องไทยทานที่ประชาชนต่างมีศรัทธานำมาสมโภชโมทนาช่วยเหลือในงานนี้ กองขนาดเท่าภูเขาย่อยๆ เรานี่เอง วันขึ้น ๑๑ ค่ำเดือน ๓ บรรดาลูกศิษย์ทั้งพระและประชาชนได้พร้อมกันทำวัตรขอขมาโทษท่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงได้อาราธนาศพท่านไปสู่เมรุ คราวนี้บรรดาศิษย์ฝ่ายฆราวาสหญิงชาย อดใจไว้ไม่ไหว กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ต่างก็ปล่อยให้พรั่งพรูออกมา ด้วยความอาลัยเสียดายอย่างใหญ่หลวง เหมือนเป็นเครื่องสักการบูชาเป็นครั้งสุดท้าย แด่ท่านพระอาจารย์ผู้ได้ทำลายกงกรรมของวัฏจักรเสียสิ้นแล้ว เป็นผู้ทรงมหาคุณบุญหนักศักดิ์ยิ่ง ผู้สิ้นกิเลสวิเศษศักดิ์สิทธิ์ที่แสนหายากยิ่งในสมัยแห่งปัจจุบัน นานแสนนานจะได้พบได้เห็นเป็นขวัญตาขวัญใจที่ใฝ่ฝันมานานสักองค์หนึ่ง แล้ววันถวายฌาปนกิจศพของท่านก็มาถึง คือวันขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๓ เวลาประมาณ ๖ ทุ่ม ผู้คนในคืนนั้นประหนึ่งจะล้นแผ่นดินแออัดยัดเยียดจนจะหาทางเดินไม่ได้ พอถึงเวลาถวายเพลิงท่านจริงๆ ขณะนั้นปรากฏมีเมฆก้อนหนึ่งขนาดย่อมๆ ลอยผ่านเหนือเมรุและโปรยละอองฝนมาเพียงบางๆ และแผ่วเบา พร้อมๆ กับขณะที่ไฟเริ่มแสดงเปลวและโปรยอยู่ประมาณ ๑๕ นาที เมฆก็ค่อยๆ จางหายไปในท่ามกลางแห่งความสว่างแห่งแสงพระจันทร์ข้างขึ้น จึงเป็นที่น่าประหลาดและอัศจรรย์อย่างสุดจะคาดเดาได้ เมื่องานถวายเพลิงท่านผ่านไปแล้ว อัฐิของท่านมีการแจกไปกว่า ๒๐ กว่าจังหวัด และในเวลาต่อมา อัฐิของท่านพระอาจารย์มั่น ได้กลายเป็นพระธาตุ แม้แต้เส้นเกศา (เส้นผม) ของท่านที่ปลงออกซึ่งมีผู้เก็บไว้บูชาในที่ต่างๆ ก็ได้กลายเป็นพระธาตุเช่นเดียวกัน |
![]() |
Copyright All Rights Reserved. |