|
![]() |
:: บทเพลงประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต :: เพลงที่ 30 เจ้าคุณธรรมเจดีย์นิมนต์กลับสู่อิสาน |
ประวัติหลวงปู่มั่น ตอนที่ ๓๐ ทำนอง : ทองกวาว อยู่ทางภาคเหนือนานเหลือเขตของเชียงใหม่ ข้ามไปถึงเชียงรายอยู่มาหลายนานปี อยู่ถ้ำอยู่เขาลำเนาเงื้อมผาวารี ป่าดงไม้มากมีสิบเอ็ดปีผ่านมา แม้นคราใดเจ็บไข้ได้ป่วย แทบมอดม้วยดับดวงชีวา ต้องใช้ธรรมโอสถรักษา ไล่ทุกขเวทนา จนกว่าจะหายไป -ดนตรี- รับสั้นๆ ก่อนได้วิมุตติหลุดพ้นต้องทนฟันฝ่า สลบสามครั้งสามครา กว่าจะคว้าธงชัย ความเพียรไม่ถอย ศรัทธาไม่ลอยลับไป สติปัญญาไม่คลายแม้ตายไม่นึกกังวล จึงได้ธรรมที่งามล้ำค่า ตามรอยพระศาสดาก้าวพาหลุดพ้น เป็นปุญญักเขตตังโลกัสสะเลิศล้น ของปวงเทพและปวงชนล้นเกินกว่ากล่าววจี -ดนตรี- แล้วเปลี่ยนเป็นทำนอง --ลำปางหลวง กล่าวถึงท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ ลูกศิษย์ปู่มั่นองค์นี้ จากอุดรธานีมุ่งหน้ามานิมนต์ พร้อมคณะศรัทธาหลายคน นั้นมาขอกราบนิมนต์แด่องค์พระอาจารย์มั่น ให้จากเมืองเหนือลงไปเจือจาน สอนธรรมะพระและชาวบ้านทางอีสานเถิดหนา เพราะท่านจากมาอยู่เมืองเหนือนี่แสนเนิ่นนาน -ดนตรี นิดๆ- ท่านรับคำนิมนต์นั่น จึงได้จากภาคเหนือ ทั้งที่อยู่มานานเหลือไปอีสาน นั้นเพื่อเผยแผ่กระแสธรรม ที่ได้พบดังบุญหนุนนำสูงลอยประเสริฐเลิศล้ำงดงามและแสนอำไพ อันอัศจรรย์ทุกคืนและวันเย็นใจ พ้นวัฏวนที่เคยเวียนว่าย หวังสอนศิษย์ได้พบพาน -ดนตรี- แล้วเปลี่ยนเป็นทำนอง --น้อยใจยา ตกเดือนพฤษภา พ.ศ. สองพันสี่ร้อยแปดสิบสอง ท่านต้องจากไกลจากเหนือเชียงใหม่ไปสู่อีสาน ที่จากมานานสิบปีพ้นผ่านที่ท่านจากมา ครั้นพอถึงวันที่ท่านอำลา ฝูงชนศรัทธา พระเณรต่างมาตามส่งมากมาย ที่สถานีเชียงใหม่ด้วยความเคารพเลื่อมใสพร้อมดวงใจที่ศรัทธา -ดนตรี นิดหน่อย- เหาะลอยตามมาคือเทวดาตามส่งล้นหลาม เหาะลอยติดตามหน้าหลังทั่วไปทั้งซ้ายและขวา เพื่อรอเวลาขอพรเมตตาเป็นวันสุดท้าย ก่อนที่ท่านจะจรจากไปจนรถไฟเคลื่อนขบวน เหาะตามเป็นพรวนด้วยความอาลัย จวบจนจะพ้นเชียงใหม่ ก็ยังลอยคอยติดตาม -ดนตรี- แล้วเปลี่ยนเป็นทำนอง --ทองกวาว จนท่านกำหนดจิตบอกเทวดาทุกทิศและอวยพรต่างถ้อยคำ ให้อยู่เย็นเป็นสุขทุกรูปนาม มิต้องติดตามมาส่งจงรีบกลับอย่าช้าไย หมู่เทพเทวดาอาลัย ต้องจำใจครวญคร่ำอำลา -ดนตรี- -พูด- บรรยาย ประวัติหลวงปู่มั่น ตอนที่ ๓๐ จากเชียงใหม่จะกลับเข้ากรุงเทพฯ ในเวลานั้น มีพระผู้ใหญ่ตลอดศรัทธาญาติโยมตามมาส่งท่านมากมาย ส่วนบนอากาศทั้งข้างหน้าข้างหลังข้างซ้ายข้างขวาเต็มไปด้วยเทวดาที่เหาะลอยตามส่งท่าน และยับยั้งอยู่บนอากาศเพื่อรอรับพรจากท่านเป็นวาระสุดท้าย พอปฏิสันถารกับประชาชนเสร็จ และรถไฟเริ่มเคลื่อนออกจากสถานีแล้ว ท่านจึงได้ปฏิสันถารและอวยพรให้แก่เทวดาทั้งหลาย ท่านว่าน่าสงสารเทวดาบางรายที่เกิดความเลื่อมใสในท่านมาก ไม่อยากให้ท่านจากไป แสดงความกระวนกระวายระส่ำระสาย และเสียอกเสียใจเช่นเดียวกับมนุษย์เราดีๆ นี่เอง เทวดาบางพวกอุตส่าห์เหาะลอยตามส่งท่านไปไกลตามขบวนรถไฟที่กำลังวิ่งตามรางไปอย่างเต็มที่ จนท่านต้องกำหนดจิตบอกให้พากันกลับไปถิ่นฐานของตน จึงให้พากันกลับด้วยความอาลัยอาวรณ์อย่างไม่มีจุดหมาย ว่าท่านจะได้กลับมาเมตตาโปรดอีกเมื่อใด สุดท้ายก็พากันหมดหวังเพราะท่านมิได้กลับไปทางภาคเหนืออีกเลย พอถึงกรุงเทพฯ ท่านเข้าพักวัดบรมนิวาส ในระยะที่พักอยู่นั้นมีผู้คนมาถามปัญหากับท่านมาก แต่จะขอนำมากล่าว ณ ที่นี้เพียงรายเดียวและพอเป็นสังเขปเท่านั้น คือเขาถามว่า โยม: ได้ทราบว่าท่านรักษาศีลองค์เดียว มิได้รักษาถึง ๒๒๗ องค์ เหมือนพระทั้งหลายที่รักษากันใช่ไหม? อ.มั่น: ใช่ อาตมารักษาเพียงอันเดียว โยม: ที่ท่านว่ารักษาเพียงอันเดียวนั้นคืออะไร อ.มั่น: คือใจ โยม: ส่วนศีล ๒๒๗ นั้นท่านไม่ได้รักษาหรือ อ.มั่น: อาตมารักษาใจไม่ให้คิดพูดทำในทางผิด อันเป็นการล่วงเกินข้อห้ามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ และอาตมาได้รักษาใจอันเป็นประธานของกายวาจาอย่างเข้มงวดกวดขันตลอดมา นับแต่เริ่มอุปสมบท โยม: การรักษาศีลต้องรักษาใจด้วยหรือ? อ.มั่น: ถ้าไม่รักษาใจจะรักษาอะไรถึงจะเป็นศีลเป็นธรรมที่ดีงามได้ นอกจากคนที่ตายแล้วเท่านั้นจะไม่ต้องรักษาใจ แม้กายวาจาก็ไม่จำต้องรักษา แต่ความเป็นเช่นนั้นของคนตายนักปราชญ์ท่านไม่ได้เรียกว่าเขามีศีล เพราะไม่มีเจตนาเป็นเครื่องส่อแสดงออก ถ้าเป็นศีลได้ควรเรียกได้เพียงว่าศีลคนตาย ซึ่งไม่สำเร็จประโยชน์ตามคำเรียกแต่อย่างใด ส่วนอาตมามิใช่คนตาย จะรักษาศีลแบบคนตายนั้นไม่ได้ ต้องรักษาใจให้เป็นศีลเป็นธรรมสมกับใจเป็นผู้ทรงไว้ทั้งบุญทั้งบาปอย่างตายตัว ท่านพักอยู่กรุงเทพฯ พอควรแก่กาลแล้ว ท่านก็ออกเดินทางไปพักที่โคราช ตามคำอาราธนาของคณะศรัทธา ชาวนครราชสีมาต่อไป |
![]() |
Copyright All Rights Reserved. |