Find in Page
Print
Print
Close
Close
:: บทเพลงประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต :: เพลงที่ 22 พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จมาอนุโมทนา

ประวัติหลวงปู่มั่น ตอนที่ ๒๒ 
ทำนอง : กุหลาบเชียงใหม่

    ผ่าน-ไป-ไม่ช้าพระพุทธองค์เสด็จมา อนุโมทนาวิมุตติธรรม
มีพระสาวกติดตาม เป็นพระอรหันต์ทั้งนั้นงามตา
สามเณรก็มาล้วนแต่สาวกอรหันต์
พระพุทธเจ้า-หลายองค์ที่ทรงหมุนเวียนเปลี่ยนกัน มาเยี่ยมเยือนพระอาจารย์มั่น
คืนนี้องค์นี้คืนนั้นองค์นั้นเวียนกัน ทั้งพระสาวกของท่านพร้อมกันมาโมทนา
ในพระโอวาทที่ประทานให้มา โดยส่วนใหญ่มีใจความว่าทราบว่าเธอพ้นทุกข์
อนันตทุกข์เหมือนลูกโซ่ที่ถูกทำลาย จนพบทางสว่างไสวสิ้นเยื่อขาดใยภพชาติแห่งตน
-ดนตรี-
จากเรือนจำแห่งวัฏวนสิ้นสุดหลุดพ้นห่างไกล อันสัตว์ในโลกทั้งหลาย
ล้วนพากันติดใจไม่คิดว่ายแหวกออกมา มัวเพลิดมัวเพลินอยู่ในกิเลสตัณหา
เหมือนเป็นโรคไม่สนใจยา ไม่มารักษาไม่มีวันคลาย
-ดนตรี-
เหมือนเป็นโรคไม่สนใจยา ไม่มารักษาไม่มีวันหาย
ธรรมของเราตถาคตเป็นเช่นยา ถึงจะดีและมีคุณค่า
แต่คนทั้งหล้ากลับพากันเมินไฉน แม้ยาจะดีเท่าไหร่
ไม่มีช่วยได้ดอกหนา
คงเวียนว่ายตายเกิด ในภพน้อยใหญ่นานา
ไร้จุดหมายปลายทางเลยว่า มาสิ้นสุดตรงไหน
ไม่วาตถาคตนี้จะมีเพิ่มอีกเท่าใด กิเลสตัณหาภายในใจ
คงไม่เหือดหายเที่ยงแท้แน่นอน
-ดนตรี-
ถ้าไม่รับธรรมช่วยถอดถอนแน่นอนสิ้นทางบรรเทา มีแต่นับวันอับเฉา
เหมือนดังไฟแผดเผาเร้ารุมสุมอยู่ตลอดเวลา
ตายเกิดมีทุกข์ติดมา ก่อเป็นแผ่นมั่นคงแน่นหนา
ทั้งก่อกวนยั่วยวนทุกท่า เชื้อไฟกิเลสตัณหา
พาหลงพะวงเรื่อยมาอุราหลงปลื้มลืมตน แม้นรับธรรมใส่กมล
บำเพ็ญต้องพ้นทุกข์สักวัน
-ดนตรี-
แม้นรับธรรมใส่กมล ต้องหมดสิ้นทุกข์สักวัน
อันนักปราชญ์ฉลาดอาจหาญ ไม่นิ่งนอนเนินนาน
ดักดานหลงผิดติดจอดจม
-ดนตรี-

                                     -พูด-  บรรยาย ประวัติหลวงปู่มั่น ตอนที่ ๒๒
พระพุทธเจ้า: เราตถาคตทราบว่า  เธอพ้นโทษจากอนันตรทุกข์ในที่คุมขังแห่งเรือนจำของวัฏทุกข์จึงได้มา
เยี่ยมอนุโมทนา  สัตว์โลกจำนวนมากไม่ค่อยมีผู้สนใจกับทุกข์ที่เป็นอยู่กับตัวตลอดมา  ว่า
เป็นสิ่งที่ทรมานและเสียดแทงร่างกายจิตใจเพียงใด  สัตว์โลกอาภัพเพราะโรคกิเลสตัณหา
ภายใน ใจเบียดเบียนเสียดแทง  ทำให้เป็นทุกข์แบบไม่มีจุดหมายว่าจะหายได้เมื่อใด
ที่นี่เธอเห็นพระ ตถาคตอย่างแท้จริงแล้วมิใช่หรือ?  พระตถาคตแท้คืออะไร  คือความบริสุทธิ์
แห่งใจที่เธอเห็นแล้วนั้นแล  ที่พระตถาคตมาในร่างนี้มาในร่างแห่งสมมุติต่างหาก  
เพราะพระตถาคตและพระอรหันต์อันแท้จริงมิใช่ร่างแบบที่มากันนี้   นี่เพียงเป็นเรือนร่างของ
ตถาคตโดยทางสมมุติต่างหาก
พระอาจารย์มั่นกราบทูลว่า
อ.มั่น: ข้าพระองค์ทราบพระตถาคตและพระสาวกอรหันต์อันแท้จริงไม่สงสัย  ที่สงสัยคือ
พระองค์ทั้งหลายกับพระสาวกท่านที่เสด็จไปด้วยอนุปาทิเสสนิพพานไม่มีส่วนสมมุติ
ยังเหลืออยู่เลย   แล้วเสด็จมาในร่างนี้ได้อย่างไร?
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
พระพุทธเจ้า: ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งแม้มีความบริสุทธิ์ทางใจด้วยดีแล้ว  แต่ยังครองร่างอันเป็นส่วนสมมุติอยู่
ฝ่ายอนุปาทิเสสนิพพานก็ต้องแสดงสมมุติตอบรับกัน  คือต้องมาในร่างสมมุติซึ่งเป็นเครื่องใช้
ชั่วคราวได้  ถ้าต่างฝ่ายต่างเป็นอนุปาทิเสสนิพพานด้วยกันแล้วไม่มีส่วนสมมุติยังเหลืออยู่
ตถาคตก็ไม่มีสมมุติอันใดมาแสดงเพื่ออะไรอีก  ฉะนั้น  การมาในร่างสมมุตินี้จึงเพื่อสมมุติ
เท่านั้น  ถ้าไม่มีสมมุติเสียอย่างเดียวก็หมดปัญหา  พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงทราบเรื่องอดีต
อนาคตก็ทรงถือเอานิมิต  คือสมมุติอันดั้งเดิมของเรื่องนั้นๆ เป็นเครื่องหมายให้ทราบ
ดังที่เราตถาคตนำสาวกมาเยี่ยมเวลานี้  ก็จำต้องมาในรูปลักษณะอันเป็นสมมุติดั้งเดิม
เพื่อผู้อื่นจะพอมีทางทราบได้ว่า  พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆ  พระอรหันต์องค์นั้นๆ  มีรูปร่าง
ลักษณะอย่างนั้นๆ  ถ้าไม่มาในรูปลักษณะนี้แล้ว  ผู้อื่นก็ไม่มีทางทราบได้  เมื่อยังต้องเกี่ยวกับ
สมมุติในเวลาต้องการอยู่  วิมุตติก็จำต้องแยกแสดงออกโดยทางสมมุติเพื่อความเหมาะสมกัน  
ผู้ทราบวิมุตติอย่างประจักษ์ใจแล้ว  จึงไม่มีทางสงสัยเรื่องวิมุตติแสดงตัวออกต่อสมมุติในบาง
คราวที่ควรแก่กรณี  และทรงตัวอยู่ตามสภาพเดิมของวิมุตติ  ไม่แสดงอาการ
ที่เธอถามเราตถาคตนั้น  ถามด้วยความสงสัยหรือถามพอเป็นกิริยาแห่งการสนทนากัน
ท่านกราบทูลว่า
อ.มั่น: ข้าพระองค์มิได้มีความสงสัยทั้งสมมุติและวิมุตติของพระองค์ทั้งหลาย  แต่ที่กราบทูลนั้นก็เพื่อ
ถวายความเคารพไปตามกิริยาแห่งสมมุติเท่านั้น  แม้พระองค์กับพระสาวกจะเสด็จมาหรือไม่
ก็มิได้สงสัยว่า  พระพุทธเจ้า  พระธรรม และพระสงฆ์  อันแท้จริงมีอยู่  ณ  ที่แห่งใด  แต่เป็น
ความเชื่อประจักษ์ใจอยู่เสมอว่า  ผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นเห็นเราตถาคต  อันแสดงว่า
พระพุทธเจ้า  พระธรรม  และพระสงฆ์  มิใช่ธรรมชาติอื่นใดจากที่บริสุทธิ์หมดจดจากสมมุติ
ในลักษณะเดียวกันกับพระรัตนตรัย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
พระพุทธเจ้า: การที่เราตถาคตถามเธอ  ก็มิได้ถามด้วยความเข้าใจว่าเธอมีความสงสัย  แต่ถามเพื่อเป็น
สัมโมทนียธรรมต่อกันเท่านั้น


Copyright © 2002 - 2003 วัดป่าบ้านตาด ต. บ้านตาด อ. เมือง จ. อุดรธานี 41000
All Rights Reserved.