ขัดกับธรรมแล้วเป็นกิเลส
วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2546 เวลา 9:00 น. ความยาว 45.36 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๖

ขัดกับธรรมแล้วเป็นกิเลส

 

         เมื่อวานนี้เราก็ไปผาแดง เอาอาหารไปส่งให้บ้าง ไม่มาก รถปิกอัพกับรถของเราสองคันเท่านั้น ไปคุยกันอยู่ศาลา ลิงเดินผ่านหน้าศาลา ดุ่ม ๆ ทำไมเห็นตัวเดียวล่ะเราถาม หัวหน้าเขามีตัวเดียว ตัวใหญ่ ดูว่าเขาจะขึ้นมาจากทางครัวก็ได้ท่า ขึ้นเขา มีมากไหมล่ะ โอ๋ย มีเยอะ แต่ตัวนี้เขาไปมาอยู่เสมอ นอกนั้นไม่ค่อยออกมา มาเป็นครั้งคราว แต่ตัวนี้เป็นประจำ อยากมาเมื่อไรมาทั้งนั้น ดูจะเป็นหัวหน้าฝูงละ ตัวใหญ่ เรานั่งคุยกับพระ เขาผ่านมาหน้าศาลา เขามาแบบเฉยนะ เขาเคยแล้วเคยกับพระ เขาขึ้นมาจากทางด้านครัว ค่อยเดินดุ่ม ๆ ท่าระวังไม่มี เฉยเลย ถามว่าได้เอาอาหารให้เขาไหมล่ะ ว่าให้อยู่เป็นประจำ มีที่ ๆ อะไรให้อาหารเขาเหมือนกัน เขาก็มีเยอะอยู่ พวกกล้วยพวกข้าวเอาขึ้นไปให้เขาเป็นประจำ

แต่ภูสังโฆ ดูว่าไม่มีลิง เอ๊ ทำไมไม่มี ดงก็มี โคกก็มี ลิงเขาอยู่ประจำเขาก็อยู่ดง หน้าศาลาลงไปนี้เป็นดงทั้งนั้น เราไปเที่ยวดูหมดแล้วไม่มีลิง เอ๊ ยังไงกัน เราก็แน่ใจอยู่แล้วว่าบ้านลิงนะแถวนั้น วัดภูสังโฆกับผาแดง ความสะดวกสบาย สงัดในการภาวนา เรียกว่าพอ ๆ กันเลย เสมอกัน ที่เป็นป่าเป็นเขาก็มีสองแห่งนี้ วัดดอยธรรมเจดีย์ก็กว้าง พระมีมาก ก็ดีเช่นเดียวกัน นี่หมายถึงสำนักภูเขา ภูวัว เหล่านี้พอกัน เหมือนกันหมด ภูวัวมีวัดอยู่ เราก็เรียกว่าวัดแหละ พระไปอยู่ที่ไหนก็เรียกว่าวัด ความจริงท่านก็ไม่มีอะไร ไปทำกระต๊อบกระแต๊บอยู่ตามในป่า อย่างนั้นมีเยอะอยู่นะ หากไม่มีแห่งละหลายองค์ แห่งละสององค์บ้าง สามองค์บ้าง อยู่แถวนั้น อยู่บนหลังเขา

วัดถ้ำบูชาเราก็เคยไปดู มาภูทอกมันดูไม่ได้ เราได้ดุท่านจวน แต่ท่านก็เป็นธรรมนะ เวลาโดนดุนี้ท่านเป็นธรรม ท่านยอมรับทุกอย่างที่เราว่า เดี๋ยวนี้ภูทอกมันเป็นทำเลเที่ยวไปแล้วแหละ มันไม่ใช่สถานที่บำเพ็ญภาวนา เป็นที่ท่องเที่ยวอะไร เขาเรียกสวรรค์นั่นน่ะ ดอยสวรรค์สะแหวน อันนี้เป็นต้นเหตุให้กลายเป็นวัดเสียไปหมดเลย ที่ไปดุให้ท่านจวน ดุอันนี้เอง บอกให้ประมวลมาเลย คิดผลลบผลได้ผลเสียด้วยกัน ได้มาตั้งแต่ความคิดเริ่มแรกที่จะสร้างดอยนรก เราไม่เรียกว่าดอยสวรรค์ ท่านให้ชื่อว่าดอยสวรรค์ เราเรียกว่าดอยนรก ตั้งแต่เริ่มต้นคิดอ่านไตร่ตรองทุกอย่างมานี้ มันเสียความคิดความอ่านเพื่ออรรถเพื่อธรรมไปมากน้อยเพียงไร จากนั้นก็ขวนขวายสร้างความกังวลขึ้นตั้งแต่เริ่มแรกแล้วเรื่อย ๆ จนกระทั่งสำเร็จแล้ว ทีนี้เรื่องยุ่ง ยุ่งตลอดเวลา เสียงคนลั่นทุกแห่งทุกหน มีแต่คนขึ้นลงยุ่งไปหมด เราว่า ยอมรับหมดเลย

มันก็เป็นอย่างนั้น คือถ้าขัดกับทางของธรรมแล้วมันก็เป็นกิเลส เป็นนรกอเวจีไปทั้งนั้นแหละ ทางของธรรมราบรื่นดีงามทุกอย่าง ผิดกันมากนะกิเลสกับธรรม เดินคนละสาย ไม่เดินสายเดียวกัน เพราะเรานี่มันเคยเสียพอเรื่องป่าเรื่องเขา ในระยะ ๙ ปีเต็มนี้มีแต่เข้าป่าเข้าเขาตลอด หลังจากนั้นมาแล้วก็อยู่ในป่าในเขา พอพาโยมแม่มาบวชนี้ก็เลยมีแต่จืดจางไปแล้วเรื่องป่าเรื่องเขา ป่าก็เลยกลายเป็นป่าคนไป เขาถ้ามีเขาเหมือนสัตว์นี้ก็มีแต่เขาคนเต็มไปหมด ทุกอย่างก็สอนเรียบร้อยแล้ว ก็ปฏิบัติตามนั้นซิ หลักเกณฑ์มีอยู่ เข้าใจหรือสอนนี่ ก็สอนตามลำดับลำดาแล้วนี่จะผิดไปไหน ว่างั้นเลย เอ้า ค้านมาซิที่สอนไปแล้วผิดตรงไหน (ไม่มีที่ค้านเจ้าค่ะ) ก็อย่างนั้นซี ฟังเสียงที่พูดนี้มันแฉลบ ๆ มันยังไงของมัน หลักใหญ่ของเธอก็ถูก แต่วิธีการสอนนั่นซี การสอนมันสำคัญนะ

ธรรมะเป็นขั้น ๆ การพิจารณาก็เป็นขั้น ๆ ไปปล่อยไป เป็นขั้นไปปล่อยไปวางไปใช่ไหมล่ะ จะมาคว้าอะไรอย่างนั้น มันคว้าโน้นคว้านี้มันอะไรกัน อย่างพ่อแม่ครูจารย์สอนเรานั้นเราเทิดตลอดเวลาเลย แหม แต่ท่านสอนเราท่านไม่เคยพูดธรรมดาแหละ เพราะท่านรู้นิสัย คือท่านสอนให้ถูกกับนิสัย เวลาคุยกันอยู่ธรรมดานี้เหมือนพ่อกับลูกแหละ ไม่ทราบว่าสนิทหรือไม่สนิท เหมือนพ่อกับลูกแหละถ้าธรรมดานี้ พอหมุนเข้าทางธรรมะนี้เปรี้ยงเลยทันที หลบทันก็ทัน ไม่ทันก็หงายเลย เป็นอย่างนั้นทุกครั้งท่านกับเรานะ ไม่มีที่จะเบาเลยแหละ เปรี้ยงมาเลยเชียว เป็นอย่างนั้น แล้วเข้าปั๊บเลยนะกับนิสัยอันนี้ เปรี้ยงมามันถึงใจว่างั้นเถอะ ท่านเปรี้ยงมาทางนี้ถึงใจ ๆ

ก็คิดซิว่าที่ว่าผม ๆ นี่แหละ ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็ยังมีผมตรงที่มันไม่ล้าน ค้านซิน่ะ แหมลงทันทีเลยนะ เอ๊ ทำไมท่านพูดถูกเอานักหนา แทนที่จะเป็นผลลบ กลัวท่านไปอะไรไปอันเป็นเรื่องกิเลส ไม่เป็นนะ โอ๊ย ทำไมท่านพูดถูกต้องเอานักหนา ซึ้งเลย ๆ ซัดทีไรก็ทีนั้น พอว่ากระผมชื่อพระมหาบัว ว่างั้น เอ้อ ก็อย่างนั้นละซี ขึ้นเลยนะ นี่ผม ๆ ท่านก็แหย่เอาละซี ตั้งแต่เด็กมันก็มีผม แน่ะเอาอีกแหละ เด็กมันก็มีผมจริง ๆ พระเณรเงียบ ๆ นี้แตกมาหมดเลย เสียงท่านลั่นขึ้น อยู่ศาลากลางวัด ท่านเดินจงกรมอยู่ข้างศาลา ท่านกั้นศาลาอยู่

เห็นไหมล่ะท่าน ท่านไปหาหรูหราที่ไหน ภายในนี้มันหรูหราพอแล้วพูดง่าย ๆ มองดูโลกธาตุนี้มันเป็นถังขยะไปหมด เข้าใจเหรอ อันนั้นของท่านมันสง่า อันนี้พออาศัยไปเท่านั้นละ เข้าใจไหมล่ะ อยู่ที่ไหนอยู่ได้พออาศัยไป เพราะธรรมชาตินี้มันเหนือทุกอย่างแล้ว เมื่อธาตุขันธ์ยังเป็นเหมือนธรรมชาติอยู่แล้วก็อาศัยกันไป พออยู่พอกินพอหลับพอนอนที่ไหนอยู่ไปกินไปอย่างนั้น ท่านไม่ได้มาถืออันนี้เป็นประมาณ เพียงอาศัยของธาตุขันธ์ที่เป็นสมมุติด้วยกัน เข้าใจไหมล่ะ อาศัยไปอย่างนั้นแหละ ท่านไปอยู่ที่ไหนท่านจึงไม่มีเรื่องหรูหราฟู่ฟ่า ไม่เคยมีเลยสำหรับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านอยู่สบาย ๆ

เพราะจิตของท่านพอทุกอย่าง เหนือทุกอย่าง พูดไม่ได้เลย พูดง่าย ๆ ว่างั้นนะ พูดไม่ได้จะเอามาเทียบเคียงไม่ได้ เทียบได้แต่ว่าถังขยะเท่านั้นพอ หมดโลกธาตุ แดนสมมุติทั้งหมดเป็นถังขยะหมดเลย พอผ่านเท่านั้นละนะ นั่นมันต่างกันอย่างนั้นนะ ท่านจะไปหาวิ่งอันนั้นสวยอันนี้งามยังไง มันสวยอะไรก็ถังขยะ แน่ะ ขี้กองไหนมันก็ขี้ จะไปว่ากองนี้สวยกว่ากองนั้นยังไง เคยเห็นไหมขี้กองนี้สวยกว่ากองนั้น ขี้กองนั้นสวยกว่ากองนี้มีไหม  นั่นละถังขยะ มันก็เหมือนถังขี้นั่นเองจะสวยอะไร ทำอะไรไปมันก็ออกจากขี้นี่ว่าไง อิฐปูนหินทรายเหล็กหลาก่อขึ้น เอาสีไหนมาทาก็อันเดียวกันนั่นแหละ หลอกเป็นบ้ากันอย่างนั้น

ท่านอยู่ที่ไหนท่านอยู่ท่านไม่ได้สนใจ ที่หนองผือที่มีกุฏินั้น ท่านดุเอานะ ท่านอาจารย์ฝั้นต่างหากนะ คือประชาชนเขามาขอร้องกับท่านอาจารย์ฝั้น ขอปลูกกุฏิถวายท่าน จะไปขอเองก็กลัวท่านจะดุเอา พร้อมกันมาขอบ้านหนองผือ ท่านก็เลยกราบเรียนหลวงปู่มั่นเรา สร้างหาอะไร แน่ะ อันนี้มันก็ดีพอแล้ว กั้นห้องอยู่ศาลา นี่มันก็ดีพอแล้วสร้างหาอะไรอีก นั่นฟังซิน่ะ ท่านก็ถวายเหตุผลไปอย่างนั้น ๆ ท่านก็ปล่อย จึงได้มาทำกุฏิหลังนั้น หลังที่เป็นที่ระลึกกราบไหว้อยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่เกิดเพราะท่านนะ เกิดเพราะท่านอาจารย์ฝั้น ประชาชนมาขอร้องท่าน ท่านก็เลยกราบเรียนขออนุญาตสร้าง พอท่านดุแล้ว ทางนี้ก็กราบเรียนเหตุผลอะไร ๆ ไป ท่านก็นิ่ง ๆ จึงได้ทำ

ท่านไปอยู่ที่ไหนมีแต่อย่างนั้นละ กั้นห้องปั๊บอยู่เลย ก็เพียงปลงธรรมชาติอันนี้ลงสู่กับธรรมชาติอันนี้ซึ่งเป็นอย่างเดียวกันเท่านั้น ท่านไม่ได้มาหวังอะไรกับสิ่งเหล่านี้ ธรรมชาติอันนั้นมันเหนือทุกอย่างแล้ว แต่ร่างกายนี้มันเป็นสมมุติทั่ว ๆ ไป อาศัยกินอยู่หลับนอนก็อาศัยไปอย่างนั้นแหละ พออาศัยเท่านั้น ท่านไม่ต้องการหรูหราอะไร นี่ละท่านผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ ท่านอยู่ไหนท่านสบายหมด คนมีธรรมภายในใจไม่ดีดไม่ดิ้นมากนัก ถ้าไม่มีธรรมมีแต่กิเลส โหย กงจักรสู้ไม่ได้นะ หมุนติ้ว ๆ เลย

เราอยากให้ชาวพุทธเราภาวนาบ้างนะ พุทธศาสนานี้ผู้นับถือนั่นละพาให้เลวลง ๆ ที่จะพากันพยุงศาสนา ให้เจริญรุ่งเรือง มองไปที่ไหนไม่ค่อยเห็นมีและไม่มี เป็นแต่อย่างนั้น มีแต่กิเลสล้อมหน้าล้อมหลังในวัดในวาในพระในเณร ในฆราวาสญาติโยม มีแต่กิเลสล้อมหน้าล้อมหลังด้วยกิริยาความดีดดิ้นของกิเลส ของพระนั้นแหละ เวลาแสดงขึ้นมาในวัดมันก็เป็นเรื่องของกิเลสไปหมด ไม่เป็นเรื่องของอรรถของธรรม เวลานี้ศาสนาเป็นอย่างนั้น

เพราะไม่ได้ดูหัวใจตัวมันดีดดิ้น ตัวนี้แหละตัวดีดตัวดิ้น พาให้โลกดิ้น แม้แต่ในวัดในวา พระเณรหัวโล้น ๆ เราก็ดิ้นเหมือนเขา แล้วดิ้นเลยยิ่งกว่าเขาไปอีกจนดูไม่ได้เลย ก็เห็นแล้วปัจจุบันนี้ เป็นยังไง เพราะไม่ได้ดูหัวใจเจ้าของ ดูหัวใจนี้มันจะแสดงเปลวของมันขึ้นนี้ ผลักดันออกเรื่องนั้นเรื่องนี้ อันนี้ตัวผลักดันออกให้คิดให้ปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้ อันนั้นดีอันนี้ดี คือกิเลสนั้นละหลอกว่าดีไปหมด ถ้าลงกิเลสผลักดันออกทางไหนดีไปทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้นคนจึงทำชั่วได้ด้วยเข้าใจว่าดี ที่ถูกใจตนเองแล้วก็ถูกใจของกิเลสนั้นแหละ เป็นอย่างนั้นนะ

ได้ภาวนาบ้างจะดี ใครอยู่ที่ไหนความสุขต้องการด้วยกัน ไม่มีเพศความสุข ต้องการด้วยกัน แล้วศาสนาก็ไม่มีเพศ ปฏิบัติได้ด้วยกัน มรรคผลนิพพาน ความดีงามทั้งหลายก็ไม่มีเพศ ปฏิบัติได้ด้วยกัน แน่ะ ไม่เห็นมีอะไรแปลกกัน ถ้าเราจะดูนะ ถ้าว่าความสุข ความทุกข์ มันก็มีได้ด้วยกัน สิ่งที่แก้ความทุกข์ทั้งหลายคือธรรม มันก็มีได้ด้วยกัน ไม่มีอะไรแปลกกันเมื่อเทียบดูแล้ว เหมือนกันหมดเลย แต่เพียงมาเปลี่ยนเป็นเพศ ๆ แล้วแยกออกฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ เพื่อเป็นขอบเป็นเขต ฝ่ายพระฝ่ายบ้าน ฝ่ายวัดฝ่ายชาวบ้าน การปฏิบัติแยกแยะภาคปฏิบัติต่างกัน หยาบละเอียดต่างกันเท่านั้น ทางพระท่านถือว่าเป็นฝ่ายละเอียด ปฏิบัติตามแบบของพระ มีการระมัดระวังรักษาตลอดเวลาคือพระของพระพุทธเจ้า มีการระมัดระวังรักษา เพราะฉะนั้นจึงต้องมีได้มีขอบมีเขต มีบ้านมีวัดมีพระมีฆราวาส ต่างกันเพราะความประพฤติไม่เหมือนกัน หน้าที่การงานของพระ กับหน้าที่การงานของฆราวาสไม่เหมือนกัน จึงแยกแยะอย่างนั้น

แต่เรื่องความดีงามก็ต้องการด้วยกัน ตามแต่ความสามารถของผู้ใดจะขวนขวายหาเองนะ เราพูดไปแล้วก็ไม่ลืมถึงด้านภาวนา การภาวนานี้เราอยู่ธรรมดานี้ก็ตามนะ เคยให้ทาน รักษาศีล ตามประเพณีของชาวพุทธเราก็ตาม แต่เมื่อได้ภาวนาลงไป ๆ แล้ว จิตปรากฏเป็นผลแปลกประหลาดขึ้นมา เพราะเราทำอยู่เป็นประจำต้องปรากฏวันหนึ่งแน่นอน ไม่ปรากฏไม่ได้เพราะทำอยู่ วันนี้ผิดไปพลาดไปวันนั้นถูกนิดถูกหน่อย ต่อไปก็ถูกไปเรื่อย ๆ นั่น ทีนี้เวลาธรรมได้เข้าสัมผัสใจแล้วมันจะกระตุ้นเตือนโดยหลักธรรมชาติเอง การให้ทานมันจะหนักแน่นเข้าไปในตัวเอง ความสนใจในทางบุญ ทางกุศล จะหนักแน่นเข้าไปเรื่อย การรักษาศีล การประพฤติเนื้อประพฤติตัวทุกอย่าง จะเหนียวแน่นมั่นคงสู่ทางความดีงามไปเรื่อย ๆ นะ ถ้ามีการภาวนา

เพราะทางภายในนี้เป็นสำคัญมาก อะไรขัดอย่างนี้ภายในนี้มันจะเตือน เหมือนว่าเตือน มันหากเป็นความรู้สึกขึ้นมาในใจ ควรจะหักจะห้าม ควรจะเปิดทางหรือไม่เปิดทาง เหตุผลมาพร้อมกัน ๆ จากใจ เพราะหลักใหญ่ใจได้ปรากฏเป็นความแปลกประหลาดขึ้นมาแล้ว มีความซึ้งภายในใจเสมอ ยิ่งมีมากเท่าไรยิ่งฝังใจ อยู่ที่ไหนใจกับธรรมไม่พรากจากกันนะ

ไปที่ไหนก็เลยกลายเป็นมีธรรมในใจ ทีนี้เมื่อมีธรรมในใจ ใจจะแสดงออกยังไงธรรมจะเป็นลักษณะที่ว่าเตือนกันอยู่ในตัว ๆ คนเราไม่ค่อยทำความชั่วแหละ ถ้าลงได้ภาวนาแล้วมันหากเป็นเองทุกคนนั่นแหละ พวกนักภาวนาก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจได้ปรากฏผลขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้วการภาวนาขยันเข้าไปเรื่อยอย่างนั้นนะ ขยันหมั่นเพียรหนักเข้า ๆ ผลของธรรมก็ยิ่งปรากฏขึ้นเรื่อย ทางความพากเพียรยิ่งมีกำลังมากขึ้น ๆ นั่นละอำนาจของการภาวนาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ

เป็นการส่งเสริมส่วนดีทางอื่น เช่น เราเคยให้ทานเป็นประจำนิสัยมันจะหนักแน่นเข้าภายในใจ ให้มีกำลังขึ้น ความสนใจก็มากขึ้น การอยากทำก็มากขึ้น ทุกอย่างมากขึ้นในทางที่ดี ศีลไม่เคยรักษามันก็ค่อยเป็นไปเอง เพราะการภาวนาเป็นหลักใหญ่เตือนให้ส่งเสริมทางทาน ทางศีลขึ้นไปในตัวเสร็จ เหมือนต้นไม้นี้เมื่อบำรุงลำต้นของมันดีแล้ว กิ่ง ก้าน สาขา ดอก ใบ จะสวยงามไปตาม ๆ กันหมด ถ้าลำต้นเสียอย่างเดียวเท่านั้น กิ่ง ก้าน สาขา ดอก ใบ ก็เสียไปตาม ๆ กัน เพราะฉะนั้นจึงขึ้นอยู่กับต้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกิ่งก้านนะ ขึ้นอยู่กับต้นของต้นไม้ นี้การสร้างความดีขึ้นอยู่กับใจ ใ