ยกเลิกให้หมดมหาภัยต่อพุทธศาสนา
วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2547 เวลา 9:00 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๗

ยกเลิกให้หมดมหาภัยต่อพุทธศาสนา

 

         ผู้กำกับอ่าน หนังสือชี้แจงของคณะสงฆ์ไทยดังนี้

 

หนังสือชี้แจงของคณะสงฆ์ไทย

 

ในการชี้แจงของคณะสงฆ์ไทย วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ .. ๒๕๔๗ เวลา ๑๔.๐๐ . สวนแสงธรรม ถนนพุทธมณฑลสาย กรุงเทพมหานคร ซึ่งประกอบไปด้วย ตัวแทนคณะสงฆ์ฝ่ายคามวาสีและอรัญวาสีจากจตุรทิศ ทั้งฝ่ายมหานิกายและธรรมยุต จำนวน ๑๕๙ รูป  ได้ประชุมร่วมกันเพื่อทำหนังสือชี้แจงประเด็นปัญหาข้อสงสัยแก่พุทธบริษัทและสื่อมวลชน อันเนื่องมาจากประกาศแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชของนายวิษณุ เครืองาม เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม .. ๒๕๔๗

การชี้แจงในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้

๑.   เพื่อระงับความสับสนและให้เกิดความชัดเจนแก่หมู่พุทธบริษัท เกี่ยวกับพระธรรมวินัย

๒.   เพื่อรักษาพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ รักษาพระเกียรติของสมเด็จพระสังฆราช และปกปักรักษาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ซึ่งเปรียบประดุจ “พ่อแม่ครูอาจารย์”

๓.   เพื่อแสดงจุดยืนและยังความเข้าใจแก่หมู่พุทธบริษัท ต่อการประชุมคณะสงฆ์ไทย    วัด อโศการาม .เมือง .สมุทรปราการ เมื่อวันที่ กุมภาพันธ์ .. ๒๕๔๗

 

สำหรับการชี้แจงต่อพุทธบริษัท และสื่อมวลชนนั้น คณะสงฆ์ไทยยึดพระธรรมวินัย จารีตประเพณี และกฎหมายเป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ได้ข้อสรุปดังนี้

. กรณีที่พระธรรมโกษาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) วัดชลประทานรังสฤษดิ์ .นนทบุรี กล่าววิพากษ์วิจารณ์พระผู้บำเพ็ญสมณธรรมตามป่าเขาหรือ “พระกรรมฐาน” ว่าเป็นผู้มี “สติไม่สมประกอบ” (abnormal) คณะสงฆ์ไทยขอชี้แจงว่า

พระพุทธเจ้าทรงเป็นแบบอย่างแก่พระภิกษุ โดยทรงบำเพ็ญสมณธรรมในป่าเขาอันสงบสงัด มีจุดหมายเพื่อความสิ้นอาสวะกิเลส  ทรงตรัสรู้ธรรมในป่า ดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสสรรเสริญพระผู้บำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในป่าแก่พระนาคิตะว่า “นาคิตะ เราสรรเสริญการอยู่ป่าเป็นวัตรของภิกษุ”

ในการอุปสมบทพระภิกษุไม่ว่าจะเป็นฝ่ายคามวาสีหรืออรัญวาสี ตามพุทธบัญญัติแล้วพระอุปัชฌาย์จะต้องสอนมูลกรรมฐาน สอนนิสสัย   ฯลฯ แก่พระภิกษุทุกรูปนับแต่วินาทีที่อุปสมบท  พระอุปัชฌาย์จะละเว้นมิได้  การสอนมูลกรรมฐาน ได้แก่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ฯลฯ หมายถึงการพิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ฯลฯ เป็นต้น และสอนนิสสัย แก่ภิกษุผู้อุปสมบท พึงถือผ้าไตรจีวร ถือบิณฑบาต อยู่รุกขมูลร่มไม้ ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า จงทำความอุตส่าห์พยายามบำเพ็ญอย่างนี้ตลอดชีวิตเถิด ดังความตอนหนึ่งปรากฏในพระไตรปิฎก เล่ม ๔ พระวินัยปิฎก  มหาวรรค ภาค ๑ ว่า ;

“รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย”

“เมื่อเธอบรรพชาอุปสมบทแล้ว ให้ท่านทั้งหลายอาศัยอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขา ตามถ้ำ เงื้อมผา หรือป่าช้าป่ารกชัฏ เป็นที่บำเพ็ญสมณธรรมได้สะดวกสบาย จงทำความอุตส่าห์พยายามบำเพ็ญอย่างนี้ตลอดชีวิตเถิด”

ดังนั้น พระกรรมฐานที่บำเพ็ญสมณธรรมในป่าเขา เจริญอริยมรรค มี “สัมมาสติ” เป็นองค์ประกอบสำคัญประการหนึ่ง จึงเป็นการปฏิบัติตรงตามพระพุทธโอวาท  การที่ท่านปัญญานันทภิกขุกล่าวติเตียนพระป่าว่า “มีสติไม่สมประกอบ” จึงเท่ากับติเตียนพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ การกระทำเช่นนี้ไม่สมกับความเป็นพระเถระ

 

. การวิพากษ์วิจารณ์สมณศักดิ์ของหลวงตามหาบัว

. สมณศักดิ์ของหลวงตามหาบัวฯ คือ “พระธรรมวิสุทธิมงคล” นั้นพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง  การที่ท่านปัญญานันทะกล่าววิพากษ์วิจารณ์ประชดประชันสมณศักดิ์ของหลวงตามหาบัวฯ  เท่ากับเป็นการก้าวล่วงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ ไม่เอื้อเฟื้อต่อพระวินัย เป็นการพูดเสียดแทงเพื่อนบรรพชิต ถือเป็นความผิดเข้าข่ายหมิ่นประมาท ในทางธรรมปรับอาบัติปาจิตตีย์สิกขาบทที่ และ ๖๔ ไม่ใช่วิสัยของสมณะจะพึงกระทำ

.