เดี๋ยวนี้เครื่องมือโรงพยาบาลกำลังเร่งสั่งให้ ๆ กำลังเร่งแล้ว เครื่องมือนี่สำคัญ หมอก็ขึ้นอยู่กับเครื่องมือ ไม่มีเครื่องมือหมอก้าวไม่ออก อันนี้ที่สำคัญมาก ถึงขนาดที่ว่าเราติดหนี้เรายอมติด ติดหนี้เครื่องมือ คือเครื่องมือสำคัญต่อคนไข้ขนาดไหน ถ้าเครื่องมือไม่มีแล้วหมดหวัง ๆ ถ้ามีแล้วก็มีหวัง ๆ นั่นละที่ควรจะติดหนี้ เอา ติด ติดอยู่เรื่อยหลวงตาติดหนี้นะ เราก็อยากเบ่งเราอยากเป็นเศรษฐี เราไม่อยากพูดคำว่าติดหนี้ ทีนี้มันก็ติดเรื่อย ๆ จะทำไง ตกลงก็เปิดออกติดหนี้เขา เขาว่าเป็นเศรษฐี ติดหนี้อะไรคนถึงขนาดเป็นเศรษฐี เราก็อยากเบ่งขึ้นเป็นเศรษฐีเหมือนกัน แต่ความจนเกี่ยวข้องกับเรานี้ก็ดึงเราลง ๆ สุดท้ายก็ติดหนี้ เป็นเศรษฐีไม่ได้แล้ว คนติดหนี้เป็นเศรษฐีได้ยังไง
เห็นพวกเด็กมาทั้งหญิงทั้งชาย โรงเรียนไหนบ้างบอกมาซิ (อุดรพิทยานุกูลเจ้าค่ะ) ในพรรษานี้มีมาเป็นประจำ ๆ รู้สึกว่าในพรรษานี้พึ่งเริ่มมา พวกนักเรียนโรงเรียนต่าง ๆ มีประถม มัธยม มาเป็นระยะ ๆ เดี๋ยวโรงเรียนนั้นมาโรงเรียนนี้มาทั่วอุดร เป็นประจำปีนะ ปีนี้พึ่งเห็น เมื่อสองสามวันก็เห็นแต่เรามองไม่เห็นเราก็เทศน์สอนทั่วไป เวลาเราออกจากนี้ไปจึงเห็นพวกนักเรียนอยู่ข้างหลัง ก็ยังระลึกไม่ได้ว่าเขาเคยมาประจำทุกปี ในพรรษานี่มาประจำทุกปี ครูอาจารย์นำมา มาประจำนานแล้วนะ ในพรรษาละส่วนมาก ในพรรษาก็มา โรงเรียนนั้นมาโรงเรียนนี้มา หลายโรงเรียนในเขตอุดร ส่วนมากมักจะเป็นพวกมัธยม ได้สอนทุกปี ๆ แต่ในระยะนี้รู้สึกจะเบาไปบ้างเพราะงานของเราเกี่ยวกับชาติบ้านเมืองมากขึ้นหนักขึ้น ต้องเกี่ยวโยงไปกว้างขวาง ทีนี้ทางโรงเรียนเขาก็อาจจะเห็นใจ รู้สึกไม่ค่อยหนาแน่นนักตอนที่เราช่วยชาติ แต่ก่อนน้อยเมื่อไร
นี่เราก็เคยเผดียงไปรู้สึกจะในปีนี้ละที่เราวิตกวิจารณ์ เพราะผ่านประเทศไทยเราทั่วไปหมดเลย เวลาไปก็เป็นสักขีพยานด้วยหูด้วยตาไปเรื่อย ที่ไม่ไปก็คิดพิจารณา เพราะมันสัมผัสสัมพันธ์กันอยู่ มีแต่มนุษย์ทั้งนั้นทั่วเมืองไทยเรา ถ้าเข้าในกรงก็ไปเจอหมา มันไม่อด เข้าในป่าก็ไปเจอกระจ้อน กระแต มันก็ต้องสัมผัสสัมพันธ์อยู่เรื่อย ๆ เอามาพิจารณา เรื่องดีเรื่องชั่วมีอยู่ทั้งสัตว์ทั้งบุคคลทั้งหญิงทั้งชาย ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ สับปนกันอยู่ในนั้น ๆ เมื่อจ่อเข้าไปตรงนี้มันก็ต้องกระจายไปหมด เรื่องความดีความชั่วอะไรต่ออะไร แล้วก็เป็นเหตุให้วิตกวิจารณ์ อุบายวิธีการที่จะปลีกจะแยกจากสิ่งไม่ดีทั้งหลาย เพราะโลกทำกันส่วนมากโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เป็นความเคยชินของพ่อของแม่ปู่ย่าตายาย คละเคล้ากันมาด้วยกิริยามารยาท การประพฤติตัวยังไง ๆ นี้เขาไม่ได้มีการศึกษา ติดแนบกันไปด้วยหลักธรรมชาติ
คำว่าติดแนบหมายถึงอะไร ใครมาก็ต้องเอากิริยามารยาทมาแสดงต่อกัน ก็ติดกันไปเรื่อย ๆ ทีนี้กิริยาของศีลของธรรมอันดีงามนี้ไม่ค่อยมี มันอดคิดไม่ได้นะ อดคิดไม่ได้ยังไง ก็นี่บวชมาได้ ๖๗ ปี ตั้งแต่บัดนั้นละมา แต่ก่อนก็แบบคึกคะนองเป็นธรรมดาที่เคย เขาก็เป็นเราก็เป็น ไม่ได้คิดนะว่าผิดว่าถูกประการใด มีแต่ความคึกความคะนอง ความอยากได้อยากทำอยากไปอยากมาแล้วก็ไปตามเรื่อง เขาก็ตามเรื่องเราก็ตามเรื่อง จึงมีแต่เรื่องเลอะ ๆ เทอะ ๆ ล่ะซี
คำว่าเลอะ ๆ เทอะ ๆ มันก็เป็นตามขั้นของคน ไม่ได้เลอะไปหมดนะ มันเป็นตามขั้นตามตอน แต่ส่วนมากก็อยู่ในเกณฑ์ที่ว่าเคยชินต่อนิสัย ทั้งเขาทั้งเราคละเคล้ากันไปด้วยนิสัยอันนี้ มันก็เลยกลายเป็นเลอะ ๆ เทอะ ๆ ไป ทีนี้เวลาเข้าบวชปั๊บ หลักธรรมวินัยเข้ามาแล้วตั้งแต่วันบวช รักษาศีล นั่นละชีวิตของพระเริ่มมาตั้งแต่วันนั้น จากนั้นมาก็เข้มงวดกวดขัน บวชทีแรกยิ่งระมัดระวังมากก็เรียกว่าเป็นทุกข์ เพราะเราไม่เคยระมัดระวัง เขาก็เหมือนกัน ฆราวาสเขาระมัดระวังอะไร เป็นตามประสีประสา พอเข้าไปบวชแล้วมีหลักธรรมหลักวินัยเข้ามาติดตัวแล้ว ทีนี้ก็อยู่ในกรอบ เหมือนติดคุกนะ บวชเบื้องต้นเหมือนติดคุกติดตะราง แต่ด้วยความสมัครใจก็ไม่ถือเป็นทุกข์ พอใจรักษาเรื่อยมา ๆ ทีนี้ก็เลยเป็นชีวิตของพระของศีลของธรรมไปตั้งแต่บัดนั้นมาเลยเทียว
เราไม่เคยตำหนิถึงเรื่องที่บวชแล้วโกโรโกโส เราไม่เคยมี ตั้งแต่เพื่อนฝูงมาแสดงอากัปกิริยาไม่งามตา ถ้าพอว่าได้ว่าเอาบ้าง อย่างหนึ่งไม่คบ ไม่มากนะ ถ้ามากกว่านั้นคบกันไม่ได้ แตกกระจาย ถ้าไม่ถึงขนาดนั้นไม่อยากคบก็ไม่คบ มันเป็นขั้นตอนของความผิดพลาดของพระ มีนิด ๆ หน่อย ๆ ที่ขัดธรรมวินัยแล้วจะเลอะเทอะให้เห็น สะเทือนตาสะเทือนใจ แล้วไม่อยากคบค้าสมาคม เป็นอย่างนั้นนะ มากกว่านั้นดุเอาว่าเอาก็มี เพราะผู้รักษา-รักษา ผู้มาทำอย่างนี้ให้เห็นมันขวางเอาจริง ๆ มันเป็นอย่างนั้น
ทีนี้การรักษาก็พยายามรักษามาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เรียกว่าชีวิตจิตใจนี้เป็นศีลเป็นธรรมหมดทั้งตัวเลยก็ได้ มันเป็นของมันเอง นี่พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังในการระมัดระวังรักษาทีแรก เข้มงวดกวดขันเหมือนติดคุกติดตะราง ไม่อย่างนั้นไม่ได้ เพราะเราเคยปล่อยตัวตามนิสัยของฆราวาส ไม่ได้รู้จักว่าอะไรผิดอะไรถูก โกโรโกโสไปตามประสีประสาทั้งเขาทั้งเรา ไม่เสียหายก็อยู่ในขั้นโกโรโกโสตามประเภทของเด็กของเพื่อนของฝูงธรรมดา
เวลาเข้ามาบวชแล้วเหมือนกับมีอะไรมัดเข้ามาเลย บวชก็บวชด้วยความตั้งใจด้วย เมื่อตั้งใจแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องตั้งใจระมัดระวังรักษา ต่อมาเรื่องที่คอยระมัดระวังรักษามันชินเข้ามา ๆ จนกระทั่งเป็นเลือดเนื้ออันเดียวกันเลย รักษาหรือไม่รักษาก็เป็นธรรมดา แต่อะไรจะผิดรู้ทันที ตัดปั๊บเลย มันเป็นเองของมันนะ คือไปธรรมดา ๆ นี่ อะไรจะขัดข้องกับศีลกับธรรมนี้ตัดปั๊บ ยกตัวอย่างเช่น เดินไปนี้กำลังก้าวลงจะเหยียบ มีมดตัวหนึ่งมันไต่มานี่ พอดีจะเหยียบมัน โดดผึงเลย แน่ะก็อย่างนั้น คือเราไม่ตั้งใจมันเป็นของมันเองกำลังจะเหยียบลง มดตัวหนึ่งไต่มา หรือสัตว์ตัวหนึ่งอยู่ตรงที่เราจะเหยียบลง พอจะเหยียบ โดดผึงเลย นี่เรียกว่าความเคยชิน ไม่ได้ตั้งใจรักษาก็ตาม มันหากเป็นของมันเมื่อความเคยชินมีแล้ว
ทีนี้ไอ้เรื่องความร่มเย็นเป็นสุขมันก็ติดตามกันมา ๆ ด้วยการเข้มงวดกวดขัน การระมัดระวังรักษาของเรานั่นแหละ ความร่มเย็นเป็นสุขภายในจิตในใจเรื่องศีลเรื่องธรรมไม่ต้องพูด ว่าจะด่างพร้อยที่ตรงไหนให้เกิดความเดือดร้อนไม่มี เพราะความรักษา ทีนี้มันก็อบอุ่นเข้ามาตามขั้นตามภูมิของศีลของธรรมเรื่อยเข้ามา นี่เรียกว่าฝึกหัดเจ้าของ ตั้งแต่ขั้นหยาบ ๆ กาย วาจา ความประพฤติ นี่หยาบ ๆ ส่วนภายในคือใจนี่ละเอียดมาก จากนั้นก็ตีเข้าไปหาเรื่องใจ ยิ่งเข้าเกี่ยวกับเรื่องภาวนาแล้ว อยากจะว่าใจล้วน ๆ ไปเลยก็ได้ ระมัดระวังมันคิดแง่ไหน ๆ อันไหนคิดไม่ดีตัด ห้าม ไม่ห้ามก็สู้กัน คือห้ามมันไม่หยุดไม่อยู่ก็สู้กัน มันยังฝืนก็ซัดกัน นั่นเรียกว่าต่อสู้กัน ทีนี้ผลที่ได้มาคือเราเป็นฝ่ายชนะ คือได้อย่างใจเราแล้วเราผาสุกเย็นใจ ๆ ถ้าไปแพ้ความชั่วแล้วมันเป็นไฟนะ ร้อน แพ้ อยู่ที่ไหน ๆ คนเราแพ้นี้ดูไม่ได้เลย อันนี้เราแก้กับกิเลสตอนใดที่ควรจะชนะได้แต่กลับแพ้นี้ เราก็รู้สึกเสียใจ มันก็ต้องขยับของมันไปเรื่อย ๆ นี่การฝึกฝนอบรมตน
ทีนี้ผลแห่งการฝึกฝนอบรมมีแต่ความเย็นอกเย็นใจสบายใจเรื่อยนะ ผลเป็นความเดือดร้อนไม่มี นี่ละให้เห็นชัด ๆ อย่างนี้ การเข้มงวดกวดขันรักษาตัวเพื่อความดีนี้ มันส่งเสริมความสุขความเย็นใจความอบอุ่นเข้ามา ๆ สุดท้ายในตัวของเราก็อบอุ่นไปหมด หาที่ต้องติที่ไหนว่าเราไปทำผิดไม่มี ไม่มีมันจะเอาพิษมาจากไหน มันก็เย็นละซี มีแต่ธรรมล้อมรักษาอยู่ตลอดเรื่อยมา จนกระทั่งเข้าถึงด้านจิตใจจิตตภาวนา โอ๊ย อันนี้หนักมากนะ เรื่องจิตตภาวนานี้ในงานแก้ความชั่วภายในจิตใจ ออกมาถึงกายวาจาของเรานี้ งานจิตตภาวนาเป็นงานที่หนักมากทีเดียว เพราะกิริยาของจิตมันอยู่ภายใน ภายนอกนั่งสงบเสงี่ยมภายในมันเหมือนลิง มันดีดมันดิ้นอยู่ภายใน ทีนี้ธรรมจ่อกันอยู่นั้น มันดิ้นไปไหน ๆ บังคับมัน มันคิดทางชั่วยิ่งปัดปั๊วะ ๆ คิดไปทางธรรมดา ๆ ไม่ถึงกับว่าเป็นความชั่วแต่เป็นความไม่ดีงามมันก็ปัดของมัน ยิ่งเป็นความชั่วแล้วปัดปึ๋งเลย ๆ
การระมัดระวังทางด้านจิตใจนี้เป็นชั้นเอกละการฝึกทรมาน เพราะฉะนั้นใครยังไม่ได้เอาศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้องกับตัวเอง อย่าเข้าใจว่าตัวเองนี้เลิศเลอมาจากโลกไหนนะ มันก็เลิศเลอด้วยมูตรด้วยคูถแห่งความประพฤติสกปรกโสมม ทั้งกายวาจาใจ ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย เรียนมากเรียนน้อย เป็นแบบเดียวกันหมด เพราะกิเลสเข้าเป็นเจ้าของ เป็นเจ้าอำนาจอยู่ในความรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียนมา เจ้าอำนาจของกิเลสมันจะทำให้พองตัว ลืมเนื้อลืมตัวไปเรื่อย ๆ ความประพฤติของคนลืมเนื้อลืมตัวจะเอาความดีมาจากไหน ก็มีแต่ความเสียหายไปเรื่อย ๆ นี่ถ้าไม่มีธรรมเข้าแทรก ถ้ามีธรรมเข้าแทรก รู้ตัว ๆ ได้มามากน้อยธรรมนี้เข้าไปเป็นเครื่องประดับ ความรู้เป็นเครื่องประดับแล้วที่นี่ ธรรมแทรกอยู่ภายใน ไปที่ไหนสวยงามไปหมด ดีไปหมด เย็นฉ่ำไปหมด นี่ละการฝึกฝนอบรมตัวให้เป็นคนดีเห็นประจักษ์
พระพุทธเจ้าทรงฝึกฝนอบรมมาเรียบร้อยแล้วจนเป็นที่พอพระทัย เลิศเลอแล้วมาสอนโลก ทีนี้เรานำมาปฏิบัติเราก็เห็นความสุขประจักษ์กับใจของเราทุกคน ๆ ที่ปฏิบัติได้ ด้วยเหตุนี้เองศาสนาจึงต้องมี เฉพาะศาสนาพุทธของเรานี้เรียกว่าเลิศเลอสุดยอดแล้วไม่มีที่ต้องติ ในโลกธาตุนี้มีพุทธศาสนา ไม่ว่าจะพระพุทธเจ้าพระองค์ใดตรัสรู้ขึ้นมา เป็นเอกเหมือนกันหมด ไม่มียิ่งหย่อนกว่ากัน นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ธรรมชาติที่บริสุทธิ์นั้นเสมอกันหมดเลย นี่ละท่านมาสอนโลก ท่านจึงสอนไม่ผิดพลาด พวกเรานี่พวกนักผิดพลาด กิเลสนี่กองผิดพลาด คลังแห่งความผิดพลาด ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ด้วยความผิดพลาดของกิเลสทั้งหมด เรื่องเป็นฟืนเป็นไฟที่เกิดขึ้นมาจากความผิดพลาด ก็เป็นฟืนเป็นไฟออกมาจากกิเลส
พอธรรมชะล้างเข้าไป ก็เหมือนกับสิ่งสกปรกได้ถูกชะล้างด้วยน้ำที่สะอาดมันก็ค่อยจางไป น่าดูน่าชมเข้าไป เช่น เสื้อผ้าเรานุ่งเราห่มอย่างนี้ก็ต้องเอาไปซัก มันคละเคล้ากับความสกปรก อะไรสกปรก เราจะว่าสิ่งนั้นสกปรก สิ่งนี้สกปรก อย่างนั้นยังไม่ถูก เป็นเพียงปลายเหตุ ดูเข้าไปหาตัวของเรา ตัวของเราตัวสกปรก ชะล้างสิ่งสกปรกในตัวของเรา เช่น ธรรมชะล้าง ตัวสกปรกคือใจ กิริยามารยาทออกมานี้ก็เป็นกิริยาที่สกปรก ธรรมะก็แทรกออกมา ๆ ชะล้างออกมา จนกระทั่งออกมาถึงร่างกาย แต่งเนื้อแต่งตัวนุ่งห่มเป็นประเพณีของมนุษย์เราซึ่งไม่ใช่สัตว์ ก็แต่งเนื้อแต่งตัวเป็นธรรมดาประเพณีของเรา ทีนี้แต่งมาเป็นยังไง กิเลสแทรกเข้าไปว่าแต่งเพื่อความสวยความงาม
ความสกปรกมันอยู่ในตัวของเราหมดแล้ว อะไรออกมาเกี่ยวข้องกับเราสะอาดขนาดไหน เครื่องนุ่งห่มใช้สอยประดับประดาจะสวยงามขนาดไหนก็ตาม พอมาคละเคล้ากับมนุษย์เราซึ่งเป็นตัวสกปรกแล้ว ต้องชะต้องล้างต้องซักต้องฟอก รู้กันไหมเวลานี้น่ะ ตัวเรามันตัวสกปรก ตัวส้วมตัวถานยังไม่รู้อยู่เหรอ เอามาชะมาล้าง เพราะสิ่งสกปรกภายในมันคละเคล้าออกมา การนุ่งห่มใช้สอยนุ่งไปนุ่งมาใช้ไปใช้มา แม้บ้านเรือนของเราก็ต้องเช็ดต้องถูไม่งั้นไม่ได้ สกปรก ดูไม่ได้ มันออกมาจากตัวของเราเอง ชะล้างนั้นแล้วอะไรสกปรกก็รู้ธรรมดามันเสียที่นี่ ไม่ได้หลงกับมันนะ สกปรกกลายเป็นความสะอาด ทะเยอทะยานให้สะอาดให้สวยให้งาม แต่งเนื้อแต่งตัวเป็นบ้าไปเลย ไม่ใช่เล่นนะ แต่งตัวประดับส้วมประดับถาน
ส้วมถานประดับอะไรให้มัน มันก็เป็นส้วมเป็นถาน ประดับเท่าไรประดับอะไร ก็ต้องบอกตรง ๆ ว่าประดับส้วม นี้ทำอะไร แต่งตัว วันนี้จะไปงานนั้นงานนี้ มันไปแบบนั้นนะกิเลส ถ้าธรรมแล้ว ทำอะไร ชะล้างส้วม มันสกปรกหรือ ก็ส้วมมันเป็นจริง ๆ กำลังชะล้างมันอยู่ ด้วยการแต่งเนื้อแต่งตัวขัดถูอะไรต่ออะไร ชะล้างให้สะอาด นั่นละธรรมท่านพูดตรงไปตรงมา แต่กิเลสจะเลี่ยง ๆ ไปแต่งเนื้อแต่งตัว ลิปสติกแกติดตัวมาบ้างไหม ปากฉันไม่แดง มันไปแบบนั้นนะ เถลไถลไปอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงขวางกับธรรมซึ่งทำความสงบให้โลก สิ่งนี้ไม่ใช่ทำความสงบให้โลก มันทำโลกให้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ให้เป็นฟืนเป็นไฟมาเผาไหม้ตัวเอง ถ้าแต่งพอดิบพอดีพอไปพอมามันไม่ดีดไม่ดิ้น ไม่เป็นฟืนเป็นไฟมากไป เข้าใจหรือเปล่าล่ะ การแต่งเนื้อแต่งตัวใครจะไม่แต่ง ก็ต้องแต่งเป็นธรรมดา แต่แต่งด้วยความลืมเนื้อลืมตัวเพื่อความเสียหายแก่ตนเองกับแต่งธรรมดานี้ต่างกัน เราต้องแยกออกมาใช้ซิ
นี่ละเราเห็นพวกเด็กพวกเล็กอย่างนี้จึงวิตกวิจารณ์ ก็ดีมีครูมีอาจารย์คอยไปรับการอบรมสั่งสอนจากครูจากอาจารย์ ต้องฝึก วิชาก็เรียน ธรรมที่มีความรอบคอบจะนำวิชาให้ไปเป็นประโยชน์ ก็ต้องเรียนต้องปฏิบัติ ถ้ามีแต่วิชาเฉย ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร แล้วยังเป็นเครื่องมือของความชั่วของกิเลสได้เป็นอย่างดีอีกด้วย จึงต้องมีธรรมแทรกเข้าไป เมื่อธรรมแทรกเข้าไปวิชานี้มีเจ้าของแล้ว เจ้าของคืออะไร คือความดี ธรรมเรียกว่าธรรมชาติที่ดีแทรกเข้าไปนั้น แล้วนำวิชานี้ออกไปปฏิบัติหน้าที่ที่เรียนมามากน้อยเพียงไร โดยถือตัวของเราเป็นเจ้าของของวิชานั้นอีกทีหนึ่ง แล้วมีธรรมเป็นเหนือเราอีกทีหนึ่ง เอาธรรมนี้แทรกเข้าไป แล้วนำไปปฏิบัติตามหลักวิชานั้น ๆ เกิดประโยชน์ทั่วถึงกันไปหมดถ้ามีธรรมเข้าแทรก
ถ้าไม่มีธรรมเข้าแทรก ตัวเสนียดจัญไรนิวเคลียร์นิวตรอนจะทำโลกให้ฉิบหายได้อย่างไม่มีอะไรเหลือ ก็คือหลักวิชาของกิเลสที่ปล่อยตัวของคนผู้เรียนมา เสียหมดเลย ถ้ามีธรรมเข้าไปแล้ววิชาเหล่านี้กลายเป็นวิชาประดับโลกให้มีความสงบร่มเย็น ตัวเจ้าของวิชาก็เป็นที่เคารพนับถือของผู้น้อยโดยลำดับลำดา ไปที่ไหนคนมีธรรมในใจ จะเป็นที่น่ารักน่าเคารพนับถือ น่ากราบไหว้บูชา แม้ที่สุดเด็กก็น่ารัก เป็นอย่างนั้นนะ ผู้ใหญ่ยิ่งน่าเคารพนับถือ มันชุ่มอยู่ภายใน ถ้าภายในมีแต่พิษแต่ภัยไปที่ไหนใครไม่อยากเข้าใกล้ ครั้นมาเห็นหน้ากันก็ประจบประแจงเลียแข้งเลียขา
เรียกให้เต็มยศก็คือว่า หน้าไหว้หลังหลอก ไม่มีความจริง ครั้นเห็นหน้าก็ไหว้เสียทีหนึ่ง พอกลับไปก็ว่า ไอ้ลูกบักห่ามันมาจากใส เปรตนะไอ้ตัวนี้ มันกินบ้านกินเมืองนะไอ้บักห่า นี่เขาพูดข้างหลัง ไม่มีใครเกินบักห่านี่ โคตรมันกินมานำกันนี่ละ เข้าใจไหมที่พูดนี้ เราใช้เป็นพิเศษภาษาโค้ดลับของหลวงตารู้ไหม นั่นละเขาเรียกหลังหลอก ครั้นเห็นเขาก็ประจบ พอกลับออกไปแล้วเขาชี้นิ้วกันหมดเลย มันดูได้ไหมล่ะคนประเภทนั้น ให้เขากราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจตลอดไปนั้นถูกต้อง
ดังพระพุทธเจ้าของเราอยู่ไหนอยู่เถอะ ระลึกถึงพระพุทธเจ้าของเรา ผู้ถือศาสนาพุทธโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งถึงขั้นฝากเป็นฝากตาย อะไรก็ตามจะอยู่กับพุทธะนี้ทั้งนั้น ๆ ของดิบของดีของเลิศของเลอ จึงทำตัวให้เป็นคนดี ความอยากอยากด้วยกันทุกคน แต่ส่วนมากมันอยากไม่มีประมาณ อยากเลยเถิด อยากน้ำล้นฝั่งอย่างนั้นห้าม ให้อยู่ในกรอบให้อยู่ในฝั่งพอดิบพอดี มีธรรมเป็นขอบเป็นกรอบเอาไว้อย่าให้มันล้นฝั่งออกไป ให้อยู่ในกรอบของศีลของธรรมก็น่าดูน่าชมคนเรานะ เตลิดเปิดเปิงนี้เสียมาก ๆ ลูกหลานทั้งหลายที่มาศึกษาอบรมให้พากันเอาไปประพฤติปฏิบัตินะ
อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัว วัยนี้เป็นวัยที่รวดเร็วที่สุดนะ ปล่อยเนื้อปล่อยตัว วัยหนุ่มวัยสาวนี้ระวังยากนะ ตัวกามกิเลสราคะนี้เห็นกันปั๊บติดกันแล้ว นี่เราเอาธรรมมาพูด ท่านทั้งหลายอย่ามาคิดว่าเป็นความหยาบความโลนอะไรนะ มันเป็นอยู่กับทุกคน ๆ สิ่งเหล่านี้ เป็นแต่เพียงไม่พูดออกมาเฉย ๆ แล้วมันก็กัดกินตับกินปอดให้คนเสียมากมายเพราะกิเลสมีราคะตัณหาเป็นต้น มากมายนะ นี่ธรรมเปิดเข้าไปให้รู้เนื้อรู้ตัว เป็นวิธีการระมัดระวังรักษา ให้หักห้ามตนเองเสมอ ไม่หักไม่ได้ ไม่ห้ามไม่ได้ ปล่อยเตลิดเปิดเปิง ไฟนี้จะพอกับเชื้อไม่เคยมีให้จำเอา มันยังเหลือแต่ถ่านเท่านี้ก็ตาม ลองเอาเชื้อสอดเข้าไปดูซิ มันจะแสดงเปลวขึ้นมาทันที แล้วโยนเชื้อเข้าไปนี้ไหม้หมดทั้งศาลา มันพอไหม ไฟพอเชื้อไหม ไม่พอ
กิเลสตัณหาตัวราคะเป็นสำคัญนี้ก็เหมือนกันอย่างนั้น จะให้มันพอไม่มี เพราะฉะนั้นจึงต้องปัดออก ๆ ให้อยู่ในความพอดีคือไฟในเตา อย่าให้ออกนอกเตาไป หุงต้มแกงใช้แสงสว่างอยู่ในกรอบแห่งการระมัดระวังรักษา ไฟก็เป็นประโยชน์แก่เรา ไฟในเตาก็เป็นประโยชน์แก่การหุงต้มแกงต่าง ๆ ไฟนอกเตาก็ใช้แสงสว่างดังที่เราใช้อยู่นี้ ด้วยความระมัดระวังของเจ้าของ ถ้าเปิดให้มันแหลกเลย อันนี้เรื่องกิเลสตัณหาตัวนี้ต้องมีธรรมเข้าไปบีบบังคับให้อยู่ในเตาคือความพอดี
เช่นอย่างมีผัวมีเมียก็คนเดียวพอ ไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้า เรื่องความฉลาดแหลมคมที่จะหาความสุขให้สัตวโลกนี้ไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้า ถ้าหากว่าเป็นความถูกต้องแล้ว พระพุทธเจ้าจะสอนว่า คนในศาลานี้มีเท่าไร ต้องสำรวจกันเสียก่อนซิ ในศาลามีคนเท่าไร มีหญิงเท่าไร มีชายเท่าไร หญิงคนนี้จะเอาผัวกี่คน ต้องถามเสียก่อน แล้วผู้ชายคนนี้จะเอาเมียกี่คน ต้องถามเสียก่อน คนนี้มันก็ต้องขึ้นว่าอย่างน้อย ๑๐ คน ผู้หญิงยังไม่พอ ๒๐ คน ผู้ชายคนนั้นเถียงขึ้นมาอีก โอ๋ย ไม่พอ ๕๐ คน นี่คือไฟได้เชื้อเข้าใจไหม เพิ่มให้มัน ๒๐ คน ๓๐ คน เหมือนได้เชื้อมันจะไปใหญ่ ๆ สุดท้ายโลกนี้ก็เป็นโลกฟืนโลกไฟ
ถ้าพระพุทธเจ้าเห็นว่าโลกนี้เป็นน้ำเป็นท่าแล้วจะจัดให้คนหนึ่ง ๆ มีร้อยผัวพันเมียเลย นี้เหตุใดจึงตัดออกมาจนกระทั่งถึงให้มีผัวเดียวเมียเดียว พิจารณาซิ เราเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าโง่หรือ พิจารณาซิ เอ้า เอามาแข่งกันนะ พวกผัวเดียวเมียเดียวนี้จะทุกข์จะจนขนาดไหน ความสุขภายในจิตใจระหว่างสามีภรรยาฝากเป็นฝากตายกันนี้เต็มหัวใจ ๆ อดไปเถอะ อิ่มไปเถอะ หัวใจเป็นอันเดียวกันแล้วอยู่สบาย เอาเงินทองข้าวของกองเท่าภูเขามากองให้เศรษฐีคนนี้ เศรษฐีหญิงเศรษฐีชายก็ตาม คนนี้เขามีผัว ๒๐ คน คนนี้มีเมีย ๕๐ คน นั้นคือกองไฟมาเผาหัวมัน เข้าใจไหม พระพุทธเจ้าจึงไม่สอนให้หาผัวหาเมียแบบนั้น
อัปปิจฉตา แปลว่าอะไร แปลว่าความมักน้อย มักน้อยอะไร ผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้นพอแล้ว จะมีกี่โลกกี่สงสารกี่ผู้กี่คนหญิงชายไม่สำคัญ สำคัญแต่ผัวเราเมียเราเท่านี้ นี้คือสมบัติของเรา ติดแนบกับเรา ฝากเป็นฝากตายกับนี้ ถึงจะทุกข์จะจนก็ไปด้วยกัน ซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน ดังพระพุทธเจ้ากับพระนางพิมพาที่สร้างบารมีด้วยกัน นั้นละเป็นอันเดียวกันมาตลอด ตั้งแต่สร้างพระบารมีเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา ไปเกิดในภพใดชาติใดก็ต้องไปเกิดพบกัน ๆ เป็นคู่บารมีกันมาจนได้ตลอดเลย นี่ละซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน เวลาพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาแล้ว พระนางพิมพาก็ตามเสด็จเห็นไหม
พูดถึงเรื่องตามเสด็จ ก็มีข้ออันหนึ่งที่จะนำมาเป็นข้อคิดแก่พี่น้องทั้งหลายนะ เวลาพระพุทธเจ้าเสด็จออกทรงผนวชนั้น ก็ทรงเล็งเห็นถึงเรื่องโลกมีคุณค่าขนาดไหน พระชายามีคุณค่าขนาดไหนก็คิด เมื่อเทียบแล้วพระชายานี้เท่ากับเม็ดหินเม็ดทราย ประโยชน์ของโลกฟังซิกว้างขวางขนาดไหน จึงต้องยอมเสียสละ จะลาพระชายาก็ไม่ลา ลูกก็ติดอยู่กับอกแม่ ถ้าไปชมลูก แม่มันตื่นขึ้นมากอดคอเสร็จเลย จะไปไหนสิทธัตถะ นี่ลูกแกเห็นไหม นี่เมียแกเห็นไหม มัดคอเข้าเรื่อย พูดคำไหนมัดเข้าเรื่อย ๆ สิทธัตถะต้องตายเข้าใจไหม
ทำอย่างไรจะไม่ให้ตาย จะให้เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ไม่ต้องบอก รักแสนรักก็ตามเถอะก็รู้แล้วว่าลูกเราเมียเรา รักก็รัก ถ้าเราเข้าไปนี้จะเป็นอย่างนั้น ๆ พิจารณาโดยสาเหตุเรียบร้อยแล้ว เสด็จออกเลยเห็นไหม ทั้ง ๆ ที่รักจนหัวอกจะแตก นี่เพื่อประโยชน์แก่โลกกว้างขวางขนาดไหนฟังซิน่ะ ไปบำเพ็ญอยู่ ๖ ปีนั้น พระนางพิมพาได้ทราบว่าพระสิทธัตถราชกุมารประทับอยู่ที่ไหน พักอยู่ที่ไหนนี้ จะก้มพระเศียรกราบไปทางนั้น ๆ ตลอด ไม่ได้คิดว่าพระสิทธัตถราชกุมารมีความรังเกียจตนเองอย่างนั้นไม่มี นั่นเห็นไหม ได้ทราบว่าพระสิทธัตถราชกุมารประทับอยู่ที่ไหนนี้ ยกมือไหว้กราบไปทางนั้น เวลาจะหลับจะนอนกราบไปตรงนั้นตลอดมาเลย
ทีนี้ก็ถึงวาระแล้วที่นี่ นี่จะทำประโยชน์ให้โลก เอานางพิมพาเป็นผู้ประกันเลย เอา มันจะอกแตกให้แตก จะเสียสละทั้งพระราหุลทั้งพระนางพิมพาออกไป นี่เรียกว่าประโยชน์น้อยมาก ถ้าเทียบประโยชน์แล้ว ประโยชน์ของโลกนี้ โลกสามแดนโลกธาตุ เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม เปรตผีประเภทต่าง ๆ ทั่วแดนโลกธาตุ อยู่ในการแนะนำสั่งสอนอบรมของพระพุทธเจ้าที่ให้เป็นความสุขความเจริญ เป็นผลประโยชน์อันเป็นแก่นสารหรือใหญ่หลวงจากพระพุทธเจ้าทั้งนั้น จึงต้องเสียสละออกไป ออกไปก็ได้สมมักสมหมายตรัสรู้แล้วมา พอเข้ามาแล้วก็ไปเยี่ยมพระนางพิมพา พระราชบิดาทรงทูลอาราธนาไปเสวยพระกระยาหารที่พระตำหนัก ดูว่าพระติดตามไปตั้ง ๒ หมื่นนะ ฟังซิ
อันนี้เราสรุปเลย พอฉันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็รับสั่ง คือพระสงฆ์ ๒ หมื่นนั่นก็กลับกันไปหมดแล้ว ส่วนพระองค์กับพระโมคคัลลาน์พระสารีบุตร ยังอยู่ ๓ พระองค์ จะไปเยี่ยมพิมพา แล้วพอดีก็ได้รับคำเผดียงจากพระราชบิดาอีก โอ๊ย พระนางพิมพาเป็นคนที่ดีมากหาไม่ได้แล้ว นี่ปู่ชมลูกสะใภ้เข้าใจไหม พระนางพิมพานี้หายากแล้วไม่มีใครเหมือน นี่มาถึงระยะนี้แล้วจะไม่ไปโปรดไปเยี่ยมพิมพาบ้างเหรอ ถึงขนาดที่มาฉันนี่แล้ว พระตำหนักพระนางพิมพาก็อยู่ข้าง ๆ นั่น ทางนั้นไม่กล้าออกมาพระนางพิมพาน่ะ คนจะมากขนาดไหนไม่กล้าออกมา พอทูลเผดียงอย่างนั้น พระองค์ก็รับสั่งกับพระว่า สารีบุตรกับโมคคัลลาน์ไปด้วยเรา จะไปเยี่ยมพิมพา
ครั้นเข้าไปแล้วกำชับ เพราะสายเกี่ยวโยงกันมีความแน่นหนามั่นคงมามากน้อยเพียงไร นานแสนนานขนาดไหน คราวนี้เป็นคราวสำเร็จเข้าด้ายเข้าเข็ม จะขั้นเรียบร้อยแล้ว แล้วพระสารีบุตรพระโมคคัลลาน์ให้ไปกับเราตถาคต ไปเยี่ยมพิมพา พิมพาอยู่พระตำหนักทางโน้น ก่อนไปก็กำชับ นี่คือความเกี่ยวแน่นมันจะไม่มองอะไรละนะ เรื่องเหตุการณ์พระองค์ทรงทราบไว้หมดแล้ว นี่เวลาเข้าไปตำหนักนี้แล้ว หากว่าพิมพาจะมาทำอะไรกับเราก็ตาม สารีบุตร โมคคัลลาน์ นี้ให้เฉยเป็นแบบหูหนวกตาบอดไปเลย นางพิมพาจะมาทำอะไร ๆ ก็ตามไม่ให้สนใจ ให้ทำตามพระอัธยาศัยของพิมพา ซึ่งมีความสนิทสนม ความกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว วาระนี้เป็นวาระที่จะแสดงทุกสิ่งทุกอย่างให้เห็นชัดเจน ความหมายว่าอย่างนั้น แล้วเธอจะทำอะไรก็ช่าง อย่าไปสนใจ
พอพระองค์เสด็จเข้าไปที่รับแขก ภาษาของเรา ทางนี้ก็ไปทูลพระนางพิมพาว่า พระลูกเจ้าเสด็จมาถึงแล้ว เวลานี้ประทับอยู่ที่นั้น พอเสด็จออกมาปรี่เข้าเลยเห็นไหมล่ะ กอดพันเลยทีเดียว เห็นไหมล่ะรู้เรื่องอะไรไหม สนใจอะไรไหม อำนาจแห่งบุพเพนิวาสชาติปางก่อนเคยเกี่ยวโยงกันมาแน่นหนาขนาดไหน เกินกว่าที่จะมาอ้ำมาอาย มาอะไรกับกิริยาท่าทางของโลกสมมุตินี้เพียงเท่านั้น สิ่งที่หนักหน่วงถ่วงจิตใจมากี่กัปกี่กัลป์ คราวนี้เข้าด้ายเข้าเข็มแล้ว ก็ประจักษ์อยู่ในหัวใจ พอมาก็เข้าสวมกอดเลย พระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ พระองค์ก็เฉยไม่ได้สนใจ มากอดทางนี้เฉย ก็พระจิตของพระพุทธเจ้าเล็งญาณดูตลอดเวลา ถึงวาระไหนควรจะปฏิบัติต่อกันอย่างไรบ้าง ๆ พระพุทธเจ้าทรงทราบตลอดเวลา แล้วปล่อยให้นางพิมพาทำให้สมใจที่รัก พูดง่าย ๆ ว่าอย่างนั้น
แล้วก็ทรงแสดงย่อ ๆ ว่านี่เป็นวาระของเราที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ไปด้วยกันแล้ว ก็แสดงย่อ ๆ ออกมา เราอุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายออกบวชมาแล้วก็ได้สำเร็จมรรคผลขึ้นมาเต็มกำลัง ทีนี้ก็จะมาถึงนางละนะ คือความหมายว่านางนั้นคืออะไรของเรา ความหมายก็พูดย่อ ๆ แสดง ทีนี้จะเอากันไปให้พ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง ก็สอน ทางนั้นก็ค่อยได้สติสตัง ๆ ที่กอดรัดอยู่นั้นเป็นไปเองนะ ค่อยถอยตัวออกเอง นั่นละธรรมเข้า ค่อยถอยตัวออกเอง จนกลายเป็นประทับนั่งเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงามมาก ทางนี้ก็แสดงธรรมให้ฟัง เกิดความเชื่อความเลื่อมใส ถึงใจเลย นั่นเป็นปฐมฤกษ์ จากนั้นก็สำเร็จโสดา สกิทา เรื่อยไป เราไม่พูดไปมากละ
นี่คือความผูกพันเป็นอย่างนั้นแหละ เป็นมาตั้งแต่ก่อน พระองค์ทรงทราบหมด พวกเราไม่ทราบจะว่ายังไง ความเป็นคนดีความเป็นผู้ที่จะทำประโยชน์ให้โลกมากมาย จึงต้องชั่งต้องตวง ประโยชน์กับพระนางพิมพาไม่มากเท่ากับประโยชน์แก่สัตวโลกทั่ว ๆ ไป จึงต้องสละพระนางพิมพา แต่สละออกไปก็สละเพื่อจะเอา ไม่ได้สละเพื่อจะปัดทิ้ง สละไปเสียก่อน ได้แล้วก็มาเอากันไปเห็นไหมล่ะ ก็อย่างนี้ละ นี่ความดีพี่น้องทั้งหลาย เมื่อเคยสืบต่อเกี่ยวเนื่องกันด้วยคุณงามความดี เป็นอวัยวะเดียวกัน เป็นจิตใจดวงเดียวกันแล้ว เกิดในภพใดชาติใดไม่ต้องบอก
ปุพฺเพ สนฺนิวาเสน ปจฺจุปนฺนหิเตน วา
เอวนฺตํ ชายเต เปมํ อุปลํว ยโถทเก
บุพเพนิวาสชาติปางก่อนเป็นสิ่งที่สนิทสนมกลมกลืนกันมา ไม่มีใครแยกได้เลย พอพบกันปั๊บมันเป็นของมันเอง นี่คือความเคยชิน เป็นมาอย่างนี้ จากนั้นมาอยู่ด้วยกันก็บำรุงกันในปัจจุบัน ด้วยความเห็นอกเห็นใจความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน ยิ่งมีความแน่นหนามีความอบอุ่นมากขึ้น ๆ ท่านจึงเทียบเหมือนกับว่าดอกบัว กอบัวที่ได้รับเปือกตมเปือกโคลนที่หล่อเลี้ยงแล้วมันก็มีความชื่นบานขึ้นไปโดยลำดับ อันนี้การมาอยู่ด้วยกันได้รับความซื่อสัตย์สุจริต ความฝากเป็นฝากตายต่อกัน ก็ต่างฝ่ายต่างเป็นเครื่องบำรุงน้ำใจซึ่งกันและกัน สนิทสนมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไป แปลในธรรม นี่ละที่ว่า ดอกบัวที่เกิดในโคลนตม โคลนตมแลหล่อเลี้ยงดอกบัวให้ชุ่มเย็น ใครที่มาเกิดด้วยกันในวงวัฏวนนี้ก็เหมือนเกิดในเปือกตม แล้วต่างคนต่างทำความดี ไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันแล้วก็เป็นอันเดียวกันไปเลย สุดท้ายก็ยกกันขึ้น อย่างพระนางพิมพา พระพุทธเจ้าเห็นไหมล่ะ เวลาออก ออกไม่มองหน้ามองหลัง ไม่ให้ทราบเลย เรียกว่าขโมยไปเลย เวลาขากลับมาก็เป็นอย่างนั้นเห็นไหมล่ะ
นั่นละพระพุทธเจ้าทรงเสียสละประโยชน์ส่วนมากส่วนน้อย พิจารณาให้ทั่วถึงไปหมดแล้วดำเนินตามนั้น อันนี้เราเป็นลูกศิษย์มีครู ถึงไม่ได้แบบดังศาสดาก็ขอให้มีครู ได้แก่โอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้นำปฏิบัติต่อตัวเองนะลูกหลานทุกคน เป็นเด็กก็เด็กมีพ่อมีแม่ เด็กมีครูมีอาจารย์ ไม่ใช่เด็กโกโรโกโสหาเจ้าของไม่ได้ ไม่ว่าเด็กหญิงเด็กชายมีพ่อมีแม่มีญาติมีวงศ์มีขอบมีเขตเหมือนกัน ให้ต่างคนต่างปฏิบัติตัวด้วยความเป็นผู้มีหลักมีเกณฑ์ด้วยกัน อย่าเหลวไหลโลเลนะจะเสียคน เวลาศาสนานี้ห่างเหินจากจิตใจของประชาชนชาวไทยเรามากจึงน่าวิตกวิจารณ์นะ เรายังออกบ้างบางทีเกี่ยวกับเรื่องหลักวิชาของธรรมห่างเหินเอามากทีเดียวเวลานี้ มีแต่วิชาของโลกเต็มหัวใจคน มันก็เลยกลายเป็นลิงเป็นค่างบ่างชะนี ธรรมเลยไม่มีความหมายไปแล้วเวลานี้
นี่เราได้เคยเตือนไป ออกทางวิทยุนี่ละ ทางโน้นจะพิจารณากันเอง เพราะเราพูดด้วยความหวังประโยชน์แก่โลกอย่างยิ่งนี่นะ เวลานี้ห่างเหินมากศีลธรรม พวกเราที่อยู่ในการเล่าเรียน ควรจะมีศาสนาแทรกเข้าไปวิชาใด ๆ บ้าง ชั้นใดบ้าง ๆ ควรจะมีหลักธรรมแทรกเข้าไป ๆ เป็นระยะ ๆ ไปเป็นอย่างนั้น เหมือนกับข้อบังคับอันหนึ่งกลาย ๆ ไปก็ได้ หรือข้อบังคับโดยตรงก็ได้ ข้อบังคับอันนี้เป็นความดี เรียนชั้นนั้นต้องให้ได้รู้วิชานั้น ๆ เรียนชั้นนั้นให้มีวิชานั้น ให้ปฏิบัติอย่างนั้น ๆ มีข้อบังคับติดตามกันไปมันก็ดี ไอ้เรียนแบบโกโรโกโสไม่ได้หน้าได้หลังอะไรนะ
ลูกหลานจำให้ดีนะ กลับไปบ้านไปเรือนให้ทำหน้าที่การงานช่วยพ่อช่วยแม่ ก็ให้ได้ช่วยนะ อย่าช่วยแต่กินกับแล้วโยนถ้วยฟาดเข้าป่า แล้วให้พ่อแม่มาล้างจานล้างชามให้ ช่วยแบบนั้นมันช่วยแบบไหน สูเคยทำไหมล่ะ ช่วยกินไวยิ่งกว่าลิง ช่วยใช้สอยอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ค่อยสนใจนะ เปิดใหญ่เลย เอาละพูดเท่านั้น
ท่านนายกกำหนดวันไว้วันที่ ๒๖ จะมอบทองคำ ตกลงเป็นวันที่ ๒๖ แล้ววันที่ ๒๘ เป็นวันวางเสาเอกของฟ้าหญิงฯ ปทุมธานี คือไปช่วงนี้เราจะให้ได้ทั้งสอง คือวันที่ ๒๖ ทำเนียบรัฐบาล วันที่ ๒๘ วางเสาเอก ของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ ทางนู้นขอมาแต่ไม่กำหนดว่าวันไหน ๆ เรียกว่าจะให้เป็นความสะดวกของเรา เราก็เลยกะเอาว่าวันที่ ๒๖ ทำเนียบรัฐบาล วันที่ ๒๗ พัก วันที่ ๒๘ ก็ไป น่าจะเป็นปทุมธานีนะ เพราะท่านประทับอยู่ทั้งสอง พระราชวังสวนจิตรฯ ท่านก็ประทับ เราก็เคยไปฉันในพระตำหนักท่านเหมือนกัน แล้วทางปทุมธานีเราก็เคยไปฉันเหมือนกัน เลยไม่ทราบว่าจะทำพิธีที่ไหน อาจจะเป็นปทุมธานีก็ได้ วันที่ ๒๘ ไป วันที่ ๒๙ ก็พักวันหนึ่ง วันที่ ๓๐ เราก็กลับ ๗ วันพอดี ที่สัตตาหะไปได้ภายใน ๗ วัน วันที่ ๒๔ ออกเดินทาง วันที่ ๒๕ มีอะไรปรึกษาหารือกัน พอวันที่ ๒๖ ก็ไปงาน ก็เท่านั้น