เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
คำขอร้องของหลวงตา
ก่อนจังหัน
มันเป็นนิสัยฟุ้งเฟ้อเสียพอแล้วเมืองไทยเรา จะพูดอรรถพูดธรรมนี้ดูว่ามันเหมือนเอาฝ่ามือไปกั้นน้ำมหาสมุทร น้ำมหาสมุทรคือความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมในนิสัยของคนไทยเรา พูดจริงๆ นิสัยของคนไทยเราเป็นอย่างนั้น ไม่ค่อยรู้จักประมาณ ต้องการอะไรอันนั้นดีอันนี้ดี ดีไปเรื่อยๆ เจ้าของจมไปๆ แล้วสุดท้ายพาชาติให้จม นี่ละเอาธรรมมาสอนโลกสอนอย่างนี้นะ สอนอย่างตรงไปตรงมา คนทั้งหลายเขาบอกว่าหลวงตาบัวขวานผ่าซากๆ จะผ่าซากอย่างไรพูดตามความจริง หลบๆ หลีกๆ เหลาะๆ แหละๆ ร้อยสันพันคมเป็นเรื่องของกิเลส ต้มโลกมาเท่าไรแล้วให้จมไปๆ ภาษาธรรมนี้เคยจมที่ไหน พระพุทธเจ้าสอนตรงไหนแน่วเลยต่อความดีงาม นี้ก็ไม่ได้สงสัยในคำสอนของตัวเอง เพราะเรียนจากหัวใจอันเดียวกันกับพระพุทธเจ้า ท่านถ่ายทอดมาเอาเข้าหัวใจด้วยภาคปฏิบัติๆ
เวลามันรู้มันเห็นแล้วเป็นแบบเดียวกัน จะคัดค้านพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ว่าบาปมีบุญมี นรกมี จะเป็นกี่หลุมก็ตามนรก ท่านบอกไว้เพียง ๒๕ หลุมนรก สวรรค์มี พรหมโลกมี พวกเปรตพวกสัตว์ต่างๆ หลายประเภท เปรตมี ๑๓ จำพวก มี พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ท่านไม่เคยค้านกันเลย เป็นอย่างไรพวกเราพวกตาบอดๆ มันจึงไปค้านพระพุทธเจ้า ว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี เปรตผีประเภทต่างๆ ไม่มี จนกระทั่งนิพพานไม่มี มันยังกล้าหาญขนาดนั้น มันด้านจริงๆ นะชาวพุทธเรานี้นะ
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่ได้สอนผิดกันเลย เพราะไปรู้ไปเห็นอย่างเดียวกันๆ จะสอนให้ผิดกันไปได้อย่างไร แต่พวกนี้พวกจอมปลอม พวกหูหนวกตาบอด มันแน่นหนาด้วยกิเลสตัณหาปัญญาหยาบ ความสกปรก กระจายออกมานี้ลบล้างคำสอนพระพุทธเจ้า ลบล้างพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ไปหมด มันน่าอับอายเหลือเกินพวกเรา พวกเรานี่ก็เป็นชาวพุทธเสียด้วย ที่ต่อสู้กับพุทธศาสนาอยู่เวลานี้คือชาวพุทธของเรา ไม่ใช่ที่ไหน นี่ละอำนาจของกิเลส คลื่นของกิเลสเหมือนท้องฟ้ามหาสมุทร มันครอบหัวใจสัตว์ ลบล้างอรรถธรรมไปจนจะไม่มีเหลือนะเวลานี้ เมืองไทยเราจะไม่มีเหลือเรื่องธรรมนะ
ธรรม คือธรรมชาติที่เลิศเลอของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่แสดงไว้เลิศเลอ แต่กิเลสไปเที่ยวลบหมดๆ แล้วก็ย่นเข้ามาหาตัวเองซี แต่ละคนๆ ลบธรรมพระพุทธเจ้าไหม ให้ถามดูอย่างนั้นซิ ธรรมพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าให้มีความขยันหมั่นเพียรในการงานที่ชอบ ตลอดการกุศลทั้งหลาย ตัวขี้เกียจเข้าไปอยู่ในนั้น นั่นมันลบล้างไหมล่ะ ท่านสอนให้ขยันหมั่นเพียรในความดีทั้งหลาย มันกลับขี้เกียจขี้คร้าน สอนให้งดเว้นในสิ่งชั่วทั้งหลาย มันกลับขยันหมั่นเพียรเป็นบ้ากันหมดโลกอันนี้
เราพูดจริงๆ เราจวนจะตายเท่าไรยิ่งเกิดความสลดสังเวช มันจ้าอยู่ในหัวใจ มันเห็นหมดจะให้ว่าไง หรือนี่มาโกหกท่านทั้งหลายเหรอ นี่เราเอาธรรมจ้ามาสอนพี่น้องทั้งหลาย เราปฏิบัติตามพระพุทธเจ้านะ ไม่ได้ปฏิบัติตามกิเลส กิเลสมันลากลงๆ ธรรมพระพุทธเจ้าสอน เรียกว่าฉุดลากขึ้น เราเอาตามพระพุทธเจ้า ถึงขนาดที่ว่าเฉียดสลบไสลเรื่อยมาตั้งแต่ปฏิบัติ นี่ก็ได้พูดถอดออกจากหัวใจ ถอดออกจากกิริยาการกระทำของตัวเอง สอนโลก นี่ละผลได้จากการที่อุตส่าห์ตะเกียกตะกาย พระพุทธเจ้าว่ายังไง เอา บืนๆ สุดท้ายธรรมที่ปฏิบัติมาตั้งแต่ต้นๆ จนกระทั่งสุดขีดสุดแดนของธรรมถึงขั้นอิ่มพอ จิตจ้าขึ้นแล้วได้เป็นเวลา ๕๕๕๖ ปี
ท่านทั้งหลายให้ฟังบ้างนะ อย่าฟังแต่เรื่องของกิเลส มีแต่ฉุดแต่ลากลงนะ นี่ปฏิบัติมาแทบเป็นแทบตาย ผลที่แทบเป็นแทบตายกลายมาเป็นบรมสุขในหัวใจ เวลานี้เราพอหมดแล้วนะ เราตะเกียกตะกายสอนโลกอยู่นี้ เราเพื่อโลกทั้งนั้น ทั้งมวลเลย สำหรับเราเองเราไม่เอาอะไร นี่เห็นไหมบิณฑบาต พี่น้องทั้งหลายเอามาบริจาคให้ฉัน ฉันให้ตายก็ได้หลวงตาบัว เพราะอาหารมากต่อมาก ถ้าจะฉันแบบไม่รู้จักประมาณอย่างเมืองไทยเราทำกันนี่นะ พวกนี้พวกไม่รู้จักประมาณ หลวงตาก็อยู่เมืองไทยไม่รู้จักประมาณ ฟาดเอา เขาว่าสะแตก เข้าใจไหม ไทยทานของพี่น้องทั้งหลาย มาตายต่อหน้าต่อตาพี่น้องทั้งหลาย หยาบไหมหลวงตาบัว กินไม่รู้จักประมาณ
นี่ต้องว่ากันบทหนัก สะแตก มันไม่รู้จักประมาณ นี่เรียกว่าบทหนัก ท่านไม่มีละคำว่าความสกปรกโสมมในภาษาของธรรม หรือเจตนาของธรรมไม่มี แต่ยกขึ้นเป็นน้ำหนัก เช่นยกโคตรยกแซ่ ยกนั้นยกนี้ เอาน้ำหนักมาทับกันกับสิ่งที่เป็นข้าศึก ที่มันเบากว่ามันก็พังไป อันนี้มีน้ำหนักมันก็ถึงใจๆ แล้วปฏิบัติอย่างถึงใจเหมือนกัน นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า นี่จวนจะตายก็บอกว่าจวนจะตาย แล้วยิ่งมีความเมตตาสงสารมากขึ้นทุกวันๆ ไม่ทราบมันเป็นยังไง มันหากเป็นเองในหัวใจ
สิ่งไม่เคยรู้มันรู้ขึ้นมาจังๆ แล้วยอมรับความรู้ของตนเองนี้ด้วย แล้วความรู้ที่ไปเห็น ใครสอนไว้ กระเทือนถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลาย สอนแบบเดียวกันหมด แต่พวกสัตว์ตาบอดมันดันทุรังๆ จะลบล้างหมดทีเดียว นรกถ้าหากว่าเป็นอย่างเรือนจำนี้จะต้องได้ขยายเรือนจำอีก นรกก็ต้องขยายนรกอีก มันไม่พอกับสัตว์ แต่นี้ถึงจะมากขนาดไหนก็เป็นกรรมของสัตว์ อัดแน่นอยู่ในนั้นตลอดเวลา นี่กรรมของสัตว์ อย่าพากันลบล้างนะ
ศาสนาเอกคือพุทธศาสนาเท่านั้น เราบอกตรงๆ เลย ให้ค้นกันในภาคปฏิบัติมันถึงได้ยอมรับพระพุทธเจ้า ที่ท่านว่าไว้ทุกแง่ทุกมุมเวลามันไปเจอมันปฏิเสธได้ยังไง เราก็ยอมรับความรู้ของเราความเห็นของเรา พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วนี่ที่เรารู้เราเห็น กราบราบๆ เราอย่าไปทะนงตัวนะ เวลาตายแล้วไปกองกันอยู่ในนรก เป็นยังไงอำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ ร้อยสันพันคมเป็นความฉลาดของตัวเองที่หลอกลวงต้มตุ๋นเพื่อนฝูงด้วยกันให้จมลงไปด้วยความฉลาดของตน ความฉลาดนี้ละมันเอาเราให้จมๆ อย่าว่าแต่สัตว์โลกทั้งหลายจมเพราะความฉลาดของกิเลสเลย ตัวกิเลสตัวคลังกิเลสตัวมันจมก่อนเพื่อนนะ คือตัวทำความชั่วช้าลามก
อย่าอวดนะ อวดธรรมพระพุทธเจ้า เราประกาศกังวานไว้เลย เราหมอบราบแล้วกับธรรมพระพุทธเจ้าด้วยภาคปฏิบัติ พูดให้ยันๆ เลย ใครเชื่อไม่เชื่อก็ตาม ความจริงมียังไงจะออกมาตามความจริง เพราะฉะนั้นการเทศน์ของเรา เราพูดจริงๆ ท่านทั้งหลายให้ฟังเสียนะ การเทศน์แต่ก่อนเทศนาว่าการในที่ทั่วๆ ไปจากภาคปริยัติที่ศึกษาเล่าเรียนมา ไม่ว่าท่านว่าเราทั่วประเทศไทยสอนก็แบบเดียวกัน เพราะพูดไปตามตำรับตำรา เรียนมาจากตำรับตำรา เวลาสอนไปก็ตามตำรับตำราไม่มีบทหนักบทเบา ไม่มีทำให้กระเทือนใจตนเองและผู้อื่นเลย เพียงความจำมาเท่านั้น พอออกมาภาคปฏิบัติการเทศนาว่าการทั้งหลายที่เป็นเหมือนทั่วๆ ไปกลับพลิกตาลปัตรนะ
พอปฏิบัติเข้ามานี่ พอมารู้ธรรมเห็นธรรมในนี้มากน้อยเท่าไร ธรรมนี้เป็นของจริง หลีกเลี่ยงไปไม่ได้ จะหลบหลีกนั้นหลบหลีกนี้ ร้อยสันพันคมเหมือนกิเลสไม่ได้นะธรรม เป็นยังไงพูดตามความสัตย์ความจริง ผิดบอกผิด ถูกบอกว่าถูกไปเลย นี่ละภาษาที่เราเคยเทศน์มาแต่ก่อนตามคัมภีร์ใบลานเหมือนโลกทั่วๆ ไป แต่พอมาเป็นภาคปฏิบัติปรากฏเห็นธรรมขึ้นมาภายในจิตใจนี้ ธรรมนี่เป็นเครื่องบ่งบอกบังคับในตัวว่าธรรมนี้คือความจริง จะพูดจอมปลอมไม่ได้ จะหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะฉะนั้นการเทศน์จึงเทศน์อย่างตรงไปตรงมา ตามความรู้ความเห็นในธรรมทั้งหลาย ทีนี้ภาษาหรือสำนวนโวหารเลยแปลกต่างกันไปหมด โลกทั้งหลายที่เขาได้ยินกันทั่วไป ว่าหลวงตาบัวนี้เทศน์กระแทกแดกดัน เทศน์ขวานผ่าซาก เราไม่ได้เป็นกระแทกแดกดัน เราไม่เป็นขวานผ่าซาก แต่เราเทศน์ตามความสัตย์ความจริง ตัวที่เราสงวนนักไม่อยากให้กระแทกแดกดันนั้นคือกิเลส มันสงวนตัวของมันไว้ ไม่ให้ธรรมเข้าไปแตะ พอธรรมเฉียดเข้าไปนี้มันฮือฮาออกมาแหละ หาว่าขาดจากพระจากเจ้าไป ตัวมันเองมันขาดจากอะไรก็ไม่รู้ มันดูมันหรือเปล่าไม่รู้นะ ที่มันวิพากษ์วิจารณ์ธรรมของพระพุทธเจ้า นี่ละตัวส้วมตัวถานมันไปวิพากษ์วิจารณ์ทองคำทั้งแท่ง
นี่พูดให้ฟัง สำนวนโวหารของเราที่เทศน์อยู่ทุกวันนี้เราไม่ได้เทศน์ตามตำรับตำรานะ เทศน์ตามตำรับตำราเราเทศน์แล้วเหมือนกับพระทั้งหลายท่านเทศน์ เทศน์เรียบๆ นิ่มนวลอ่อนหวานที่ไพเราะเพราะพริ้ง กิเลสเคลิ้มหลับไปนั้นแหละ แต่พอเทศน์ธรรมะนี้ตีหัวกิเลสละซี ปั๋งๆ เข้าไปตามความสัตย์ความจริง เขาว่าเทศน์ดุด่าว่ากล่าว เทศน์ขวานผ่าซาก พระพุทธเจ้ากว่าจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้ามานั้นสลบถึงสามหน เป็นยังไงหนักไหมพระพุทธเจ้า เป็นขวานผ่าซากไหมฟัดกับกิเลส
พระสาวกบางองค์ฝ่าเท้าแตก เดินจงกรมไม่มีหยุดมีถอย บางองค์จักษุแตก หมอเขาให้นอนหยอดยาไม่ยอมนอน เพราะท่านตั้งความสัตย์ความจริงแล้ว ในพรรษานี้ท่านจะไม่นอน เขาให้นอนเพียงหยอดยาท่านก็ไม่ยอมนอน สุดท้ายตาภายนอกท่านก็แตก ตาภายในด้วยความสัตย์ความจริงท่านก็จ้าขึ้นมาเลย นั้นคือพระจักขุบาล ท่านเป็นยังไง แล้วผู้ที่เดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตกนั้นคือใคร คือพระโสณะ นี่ละที่เป็น สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา ให้ได้ถือเป็นคติตัวอย่าง
นี่เราก็ปฏิบัติมา หลวงตาบัวไม่เป็นสรณะของใครแหละ แล้วแต่จะเอาไปพิจารณา เพราะนั้นเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นส่วนกลาง เราเทศน์นี้เป็นส่วนกลาง ไม่บังคับกดขี่ผู้ใด ไม่บีบผู้ใด เทศน์คำกลางๆ ควรตำหนิต้องตำหนิ ควรชมต้องชม ควรหนักต้องหนัก ควรเบาก็ต้องเบา นี้เป็นภาษาของธรรม เป็นเรื่องของธรรม แต่ไม่ไปบังคับบัญชาผู้หนึ่งผู้ใด พอที่จะมาหาเรื่องใส่ศาสนาว่าก่อความเดือดร้อนฉิบหายให้แก่โลก ไม่มี มีแต่โลกมันดื้อด้านของมัน มันไม่ยอมฟัง แล้วมันก็โจมตีธรรมเท่านั้นเอง
นี่เราพูดถึงเรื่องการเทศน์ แต่ก่อนเราไม่ได้เทศน์อย่างนี้นะ นี่เทศน์ตามหลักความจริง ถอดออกมาจากหัวใจ ตั้งแต่พื้นถึงพระนิพพานเราเทศน์ได้ตลอด เพราะมันรู้เห็นเต็มหัวใจนี้แล้ว แต่ก่อนแต่โคตรพ่อโคตรแม่ของหลวงตาบัวก็ไม่เคยมีธรรมประเภทนี้ เราเป็นลูกพ่อแม่เหมือนกันแต่ก่อนก็ไม่เคยรู้เคยเห็น เวลามาปฏิบัติเป็นลูกของตถาคตแล้วมันเป็นขึ้นมาอย่างนี้ ลูกตถาคตคือโลกวิทูรู้แจ้งกระจ่างในโลก นี้เรามาปฏิบัติตามธรรม มันก็รู้ขึ้นเต็มนิสัยวาสนาของเรา จนกระทั่งเปิดจ้าไปหมดเลย
เมื่อมันเห็นอยู่มันรู้อยู่ ทั้งผิดถูกชั่วดีประการต่างๆ นรกสวรรค์มันเห็นอยู่รู้อยู่ จะไม่พูดว่าสิ่งเหล่านี้มีได้อย่างไร ไปลบล้างอย่างไร จะลบล้างแบบคนตาบอดไม่ได้นะ คนตาบอดว่าต้นเสาไม่มีแล้วโดนเข้าไปก็หัวคนตาบอดนั่นละ คนตาดีเขาไม่ไปโดนนะต้นเสา มีแต่คนตาบอดเหยียบขวากเหยียบหนาม มีแต่คนประมาท ผู้รักษาระมัดระวังตัวเอง เดินทางไปด้วยกันไม่ค่อยเป็นอันตราย ไม่ตกเหวตกบ่อ ไม่เหยียบขวากเหยียบหนาม แต่คนตาบอดนี้ขวากหนามนี้เป็นมิตรกันเลย เป็นมิตรกับความประมาทของตัวเอง
เมื่อรู้อย่างนั้นจะให้ว่ายังไง เราปฏิบัติเรามาก็รู้อย่างนี้เห็นอย่างนี้ หาที่ค้านไม่ได้ พอใจอย่างเต็มที่ กราบพระพุทธเจ้าอย่างราบเลย แล้วนำธรรมนี้มาสอนโลกด้วยความเมตตา เบื้องต้นเป็นถึงขนาดที่จะว่าสอนใครได้ เราพูดจริงๆ นะ เราตัวเท่าหนูนี่เห็นแต่ในตำรา พระพุทธเจ้าพอตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาเท่านั้นทรงท้อพระทัย จะไม่สั่งสอนโลก ทั้งๆ ที่ทรงปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้ามากี่กัปกี่กัลป์ พอตรัสรู้ถึงความจริงขึ้นมาแล้วไม่ได้เหมือนความคาดความหมายละซิ
พอจ้าขึ้นมาเท่านั้นทรงท้อพระทัย ไม่อยากสั่งสอนสัตว์โลก ทรงทำความขวนขวายน้อย จนกระทั่งท้าวมหาพรหมมาอาราธนาให้เมตตาโปรดสัตว์ ดังที่เรายกขึ้นมา พฺรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ อาราธนาพระท่านเทศน์ นี้เอานามเดิมมาจากท้าวมหาพรหมมาทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้โปรดเมตตาสัตว์ทั้งหลาย นั้นละเห็นไหมธรรมนี้ขนาดไหน แต่ก่อนว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าก็ทรงกระหยิ่มยิ้มย่องมาเรื่อยที่จะสั่งสอนสัตว์โลก พอมาเจอของจริงที่เลิศเลอสุดยอดแล้วมองดูโลกนี้ เหมือนว่าไปสอนคนตายแล้วมันสอนได้ยังไง สอนส้วมสอนถานสอนหาอะไร มันจะเป็นอย่างนั้นนะ ท้อพระทัยไม่อยากสอน จนท้าวมหาพรหมมาอาราธนา
อันนี้ก็เป็นอย่างนั้นนี่นะ เราตัวเท่าหนูเราเป็นต้องบอกว่าเป็น เวลามันจ้าขึ้นมานี้ ขึ้นอุทานเลย โอ้โห ๆ เลย ธรรมลงถึงขนาดนี้แล้วจะไปสอนใครได้ ไปสอนที่ไหนเขาก็จะหาว่าบ้าไปหมด ทั้งๆ ที่เขาเป็นบ้ากันทั้งโลก ธรรมนี้เป็นของเลิศของเลอ ไปสอนที่ไหนเขาไม่ยอมรับ มีแต่เขาจะโจมตีหาว่าเป็นบ้าๆ โอ๊ย อยู่ไปกินไปวันหนึ่งๆ พอถึงวันเท่านั้นก็พอแล้ว ไปสอนให้เขามาโจมตีว่าบ้าว่าบอไปหาอะไร เพียงเท่านั้น ทีนี้ธรรมอันหนึ่งขึ้นแล้วขึ้นภายในใจนี้เอง ก็เมื่อว่าธรรมนี้เป็นธรรมชาติที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้เห็นได้จนกระทั่งถึงท้อใจอย่างนี้แล้ว แล้วเราเป็นเทวบุตรเทวดามาจากไหน เขาเป็นมนุษย์เขารู้ไม่ได้เห็นไม่ได้ สุดวิสัยที่จะสอนเขา เรานี่เป็นเทวบุตรเทวดามาจากไหนถึงมารู้ได้เห็นได้ นั่น
รู้ได้เห็นได้เพราะเหตุใด ไล่ตามสาเหตุมานะ มาถึงวัดป่าบ้านตาดนี่เพราะเหตุใด เพราะมีสายทางเข้ามา อันนี้รู้ได้เพราะเหตุใด เพราะบุญบารมีของแต่ละรายๆ ที่สร้างมาๆ หนุนกันขึ้นๆ ใกล้ชิดติดเข้ามา อย่างทางก็ถึงบ้านตาด อันนี้บุญบารมีของเรา ที่ได้สร้างมามากน้อยหนุนเข้ามาๆ จนกระทั่งถึงมรรคผลนิพพานได้ด้วยกัน จะว่าเป็นธรรมที่สุดวิสัยได้ยังไง ถ้าสุดวิสัยเรารู้ได้ยังไง รู้ได้เพราะเหตุใด เพราะเหตุใดนี่คือว่าบารมีมีด้วยกันทุกคน ผู้ใกล้เข้ามา ผู้ยังไกลเดินเข้ามาเรื่อย ถึงได้ด้วยกัน
ทั้งๆ ที่อ่อนใจเต็มที่นะ พอพูดถึงว่าเราเป็นเทวบุตรเทวดามาจากไหน มนุษย์ มนาเขารู้ไม่ได้ เราถึงรู้ได้ เราเป็นเทวดามาจากไหน เป็นคนพิเศษมาจากไหน เรารู้ได้เพราะเหตุใด พอถึงว่าเพราะเหตุใดมันโดนถึงความจริงอันนี้ เหมือนว่าบ้านนี้ติดกับบันได เช่นอย่างวัดป่าบ้านตาดติดกับสายทางมา อ๋อ รู้ได้เพราะเหตุนี้ มีสายทางเข้ามา ยอมรับทันทีเลยนะ อ๋อ รู้ได้ๆๆ ไม่มากก็ได้ ขึ้นเลยไม่ปฏิเสธ นี่ละก่อนที่จะสอนโลก เราพูดจริงๆ |