เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
จิตมันสู้
ก่อนจังหัน
วันเสาร์ วันอาทิตย์ วันพระ วันโกน เป็นวันว่างสำหรับขวนขวายความดีเข้าสู่ใจ ทั่วโลกเขาถือกัน วันเสาร์ วันอาทิตย์ เป็นวันว่างการงานภายนอก เพื่อความสงบทางด้านจิตใจเกี่ยวกับเรื่องศีลเรื่องธรรม ทางพระพุทธศาสนาเราก็มีวันพระ วันโกน พอดีได้เสาร์ อาทิตย์ บวกเข้าไปก็เป็น ๔ วันนั่นน่ะ ในเดือนหนึ่งได้ ๓-๔ วันมาประกอบทางด้านจิตใจก็ดีนะ
คือใจมีอาหารสำหรับตน เหล่านี้เป็นอาหารของร่างกายที่ปรนปรือยุ่งเหยิงวุ่นวายกัดฉีกกันเหมือนหมานี่น่ะ คืออาหารของร่างกาย อาหารของใจไม่มีก็เดือดร้อน มันกัดออกไปภายนอกแย่งอันนั้นแย่งอันนี้ อะไรก็ไม่พอๆ ออกไปจากใจที่ นตฺถิ ตณฺหาสมา นที แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาคือความทะเยอทะยานอยากนี้ไม่มี วิ่งเต้นกันเกี่ยวกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ แต่มีจิตใจไปเป็นใหญ่ครอบครองอยู่นั้นแล้ว ความได้ความอยากเพียงธาตุขันธ์นี้ไม่มาก แต่ความทะเยอทะยานอยากทางด้านจิตใจนี้มากต่อมาก ไม่มีฝั่งมีฝา
จอมปราชญ์ทั้งหลายที่เลิศเลอคือพระพุทธเจ้าของเรา ท่านจึงคัดออกให้พอมีวันว่างบ้างไม่งั้นสัตว์โลกมันจะจมไปด้วยกันหมด จะไม่มีอะไรฉุดลากขึ้นบ้าง จึงคัดวัน เช่น วันเสาร์ วันอาทิตย์ วันพระ วันโกน นี้ให้เป็นวันว่างสำหรับผู้ที่ต้องการความสุขความเจริญ ได้ขวนขวายความดีงามเข้าสู่ใจ ใจจะได้มีอาหารเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง จะสงบร่มเย็น ใจโลกไม่มีอาหารความดีงามเข้าช่วยหล่อเลี้ยงนะ มีแต่กิเลสตัณหาเผาทั้งใจเขาใจเรา โลกก็ไม่รู้ ไม่งั้นไม่เรียกว่ากิเลสเป็นธรรมชาติที่ฉลาดแหลมคมบนหัวใจสัตว์ จะไม่มีสัตว์ตัวใดได้เห็นโทษเห็นภัยของกิเลสเหล่านี้เลย ดีดดิ้นไปตามมันมาตั้งกัปตั้งกัลป์ก็เป็นอยู่อย่างนี้ และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องฉุดลากให้มอง
เช่นตาเรานี้มองไปที่ไหนเห็นอะไรเห็นหมด แต่ไม่เห็นหน้าเจ้าของ ใครๆ ก็เหมือนกันไม่ได้เห็นหน้าตัวเอง หน้าใครต่อใครสิ่งใดเห็นหมด ตานี้ดีตาแมวสู้ไม่ได้ แต่ไม่เห็นหน้าเจ้าของ ท่านจึงเอาธรรมเข้ามาสะกัดเป็นเหมือนกระจกเงา สะกัดเข้ามาแล้วก็มองเห็นหน้าเจ้าของ หน้าเป็นยังไงๆ ก็รู้ อันนี้จิตย้อนเข้ามา ธรรมท่านให้ส่งจิตย้อนเข้ามาหาใจตัวเอง หน้าของตัวเองคือหัวใจ มันดีดมันดิ้น ดิ้นไปอะไรๆ บ้าง ให้จิตย้อนเข้ามาดูหัวใจคือความดีดดิ้นนี้ แล้วธรรมจะเกิด จะรู้เนื้อรู้ตัวในเวลานั้น เพราะฉะนั้นจึงให้พากันสงบจิตใจ ย้อนเข้ามาสู่ตัวเองให้มีวันสงบร่มเย็นทางด้านจิตใจบ้าง
โลกนี้รุ่มร้อนมากทีเดียว ไม่มีใครรู้กันเลยว่าโลกนี้มีอะไรหลอกให้รุ่มร้อนมาตั้งกัปตั้งกัลป์และต่อไปอย่างนี้ไม่มีสิ้นสุด เหมือนมดไต่ขอบด้งนั่นแหละ ไต่ไปไต่มาขอบเก่า อันนี้เกิดไปเกิดมาสับสนปนเป ตัวเองนี่แหละไปเกิดภพนั้นภพนี้ สับสนปนเปในตัวเองอีก และสัตว์ทั้งหลายต่างคนต่างสับสนปนเป ด้วยภพด้วยชาติ ด้วยสุขด้วยทุกข์ ด้วยความสูงความต่ำ เป็นอย่างนี้ตลอดมาไม่มีใครมองเห็นได้ ก็มีองค์ศาสดาผู้โลกวิทู รู้แจ้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง จึงได้นำธรรมมาสั่งสอนสัตว์โลก พอให้ได้รู้เนื้อรู้ตัวบ้าง
เช่นอย่างให้บำเพ็ญคุณงามความดี นี้เป็นธรรมสำคัญมากที่จะเข้าหล่อเลี้ยงจิตใจ เพราะใจนี้เป็นนักสมบุกสมบัน การเที่ยวเกิดตายไม่มีอะไรเกินใจ ธาตุของเรานี้เป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตายลงไปแล้วสวรรค์ไม่ไป นรกไม่ไป แต่ใจนี้ไปได้ทั้งสวรรค์ทั้งนรก จึงต้องได้เสาะแสวงหาความดีงามเข้าสู่ใจ ให้ใจได้ไปในทางที่ถูกที่ดี พากันจำเอานะ
ไม่มีใครมองเห็นแหละใจดวงนี้ เหมือนเรามองไปข้างหน้า ตาเราเห็นหมด ที่ไหนเห็นหมด แต่ตาตัวเองไม่เห็นตัวเองเพราะไม่มีกระจกเงามองย้อนหลัง นี้ให้มีธรรมย้อนหลังเราจะได้เห็นตัวของเรา เวลามีชีวิตอยู่อย่างนี้ก็ทราบนี่เป็นมนุษย์ เวลานี้ทราบด้วยกัน ร้ายดีมีจนก็ทราบด้วยกัน แต่ที่จะไปข้างหน้าเป็นยังไง ปิดตันหมดที่จะไปข้างหน้า ตายจากนี้แล้วจะไปเกิดเป็นอะไรๆ ดีไม่ดีมันจะเหมาว่าตายแล้วสูญ นั่นน่ะฉิบหาย เรียกว่าจมเลยพวกนี้
ไม่เคยสูญใจดวงนี้ตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใดมา ไม่มีอะไรจะทำใจดวงนี้ให้สูญ แม้ตกนรกหมกไหม้เป็นเวลาตั้งกี่กัปกี่กัลป์ ยอมรับว่าทุกข์ในนรก มากน้อยเพียงไรยอมรับความทุกข์ แต่ไม่ยอมฉิบหายคือใจดวงนี้ ทีนี้ฟื้นออกมาจากนั้นแล้ว ดีดดิ้นขึ้นในทางสูงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสวรรค์ชั้นพรหมถึงนิพพาน เสวยความสุขไปเรื่อยๆ ถึงนิพพานเป็นบรมสุข เป็นธรรมธาตุ ไม่สูญ อย่างนั้นนะ จิตดวงนี้จึงสำคัญมาก ขอให้ท่านทั้งหลายสนใจดูใจเจ้าของให้ดี
ดูใจเจ้าของ ก็คือคนมีสติละถึงจะดูใจเจ้าของได้ สติดีแล้วปัญญาก็ค่อยรอบคอบพินิจพิจารณาคัดเลือก บวกลบคูณหารตัวเองให้ดี แล้วก็ได้ของดีไปใช้ๆ แล้วก็ไปดีๆ จิตมีเจ้าของ สติปัญญาเป็นเจ้าของของจิต ถ้าไม่มีสติปัญญาเป็นเจ้าของ ดังที่เราเคยเห็นพวกบ้ามันพะรุงพะรังอยู่ตามถนนหนทาง ไฟเขียวไฟแดงสี่แยกสามแยก มันไปทำอะไรของมันอยู่นั้นไม่สนใจกับใคร รถวิ่งขวักไขว่จะชนกัน ทั้งรถจะชนรถ ทั้งรถจะชนคนบ้า วุ่นไปหมด นั่นละจิตดวงนั้นมันไม่มีเจ้าของ คือสติความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี ปัญญาไม่มี มันก็ทำตามประสาของมัน นั่นละความรู้เฉยๆ ไม่มีเจ้าของ ดูคนบ้าก็แล้วกันไม่มีเจ้าของ มันอยากทำอะไรมันก็ทำ นี่คือความรู้ นี่เรียกว่าจิต เจ้าของของจิตคือสติปัญญารู้ผิดถูกชั่วดี
ท่านจึงสอนให้จิตมีเจ้าของ เข้มงวดกวดขันรักษาตัวเองแล้วก็จะดีไปๆ เรื่อย ถ้าปล่อยให้จิตไปเฉยๆ มันก็คืบคลานไปเหมือนไส้เดือนบุ้งกือนั่นแหละ ความรู้มีอยู่ในร่างของมัน แต่ไม่มีสติปัญญาเครื่องรักษาตัวเองมันก็เป็นไปแบบนั้น เหมือนคนบ้าเดินตามถนน นั่งตามถนน ที่ไหนนั่งได้นอนได้ทั้งนั้นคนบ้า เพราะไม่มีสติปัญญาเป็นผู้รับผิดชอบตัวเอง เป็นอย่างนั้น จึงต้องสั่งสมสติปัญญาเข้าให้ดี เพื่อให้มีความเฉลียวฉลาดแหลมคม แล้วก็มาซักฟอกเจ้าของ ฉุดลากเจ้าของให้พ้นจากความทุกข์โดยประการทั้งปวงถึงพระนิพพาน จำให้ดีนะ เอาละเทศน์เพียงเท่านั้น
หลังจังหัน
วันนี้ขบวนรถเรานี้ทางหลวงอกจะแตกนะ ทางหลวงเขาควบคุมเรื่องรถ รถขบวน ขบวนหนึ่งได้สักห้าคันหรืออะไร (ประมาณ ๕ คันไม่เกิน ๗ คันครับ) ขบวนหนึ่งๆ รถเขานำ ทางหลวงเขามีกำหนดให้ว่าขบวนหนึ่ง ๕ คันถึง ๗ คัน แต่ขบวนของหลวงตาบัวนี้ฟาดเอาเสีย ๓๐ คัน ทางหลวงก็เป็นลูกศิษย์แล้วจะทำอย่างไร ทางหลวงเลยอกจะแตกตายนะ ขบวนของเรามันตั้ง ๓๐ คัน ทางหลวงที่ควบคุมเกี่ยวกับการสัญจรไปมาของรถเลยอกจะแตก จะว่าก็ว่าให้อาจารย์ ทีนี้จะทำอย่างไร เลยทนเอาอย่างนั้นละ ที่ไหนก็เป็น
เราก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นอย่างนี้นะ ปฏิปทาของเราที่ดำเนินมาอย่างนี้ไม่มีเลย แต่มันเป็นไปได้ยังไงก็ไม่ทราบ พิจารณาซิ ตั้งแต่ออกปฏิบัติไปคนเดียวตลอดเลย พ่อแม่ครูจารย์เสริมตลอดนะ ตามธรรมดาเวลาใครจะไปเที่ยว ลาท่านไป ท่านจะถาม ไปกี่องค์ บางทีท่านก็ตำหนิ ไปอะไรองค์เดียว คือท่านคงดูผู้ที่ไป แต่สำหรับเราไม่ทราบจะโง่หรือฉลาด ท่านเสริมทุกทีพอว่าจะไป คือก่อนที่จะไปไหนนี้ด้วยอำนาจแห่งความเคารพ ถวายความเห็นเสียก่อน กราบเรียนถามถึงเรื่องในวัดในวา เพราะเราเป็นคนดูแลในวัด ท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร พระเณรมาเต็มวัดๆ เราหัวอกจะแตก พูดให้มันชัดเจนนะ ดูแลพระเณร
เพราะพระเณรทั้งหลายที่ไปนี้ เณรมีองค์สององค์ไม่มาก แต่มีอยู่ก็เรียกว่าพระเณร ส่วนมากมีแต่พระ มันหากได้สอดส่องนะ หนัก หนักมากจริงๆ เวลาอยู่กับท่านตาคอยสอดคอยแทรกไปซอกนั้นซอกนี้ ซอกแซกซิกแซ็กดูพระดูเณร กลัวจะมาระเกะระกะสายหูสายตาท่าน จะทำให้ท่านหนักอกหนักใจ เพราะอยู่ๆ ก็มาเองมาทับท่าน ทีนี้เราก็ต้องเป็นคนคอยดูแลสอดส่องพระเณรตลอดเลย องค์ไหนไม่ดียังไงเตือน ค่อยเตือนๆ สอดแทรกเรื่อย ใจเรื่องความเพียรเลยเพียรแบบนี้ไปเสีย หนักนะ
เวลาจะไปไหนมาไหนจะถวายความรู้สึกท่านเสียก่อนว่า มีธุระอะไรบ้างในวัดนี้ ธรรมดาก็ไม่มีธุระอะไรแหละ แต่ต้องกราบเรียนถามท่าน ถ้าท่านว่าไม่มีธุระอะไร ถ้าไม่มีก็คิดอยากจะไปเที่ยวภาวนาสักชั่วระยะหนึ่ง ว่าอย่างนี้นะ ไปสักชั่วระยะหนึ่ง เท่านั้น ถวายท่านแล้วก็เงียบเลยที่นี่ ท่านเก็บไปพิจารณาแล้ว ไม่ใช่ว่าจะตอบรับท่านให้ไปอย่างนั้นทีเดียวนะ แล้วแต่ท่าน ถวายความรู้สึกความคิดนึกของเจ้าของต่อท่านแล้วก็ปล่อยละ คอยฟัง ท่านมีโอกาสเมื่อไรท่านสมควรยังไงท่านจะพิจารณาของท่านเอง นั่นละความรอบคอบของจอมปราชญ์สมัยปัจจุบันคือพ่อแม่ครูจารย์มั่น เราเทิดสุดหัวใจเลย
เพียงถวายความคิดเห็นของเจ้าของเข้าไปอย่างนั้นแล้ว ก็แล้วแต่ท่านจะพิจารณาเมื่อไร เหมือนว่าลืมไปนะบางที ท่านเอาไปพิจารณา บทเวลาท่านจะให้ไป เออ ที่ท่านมหาอยากจะออกไปเที่ยววิเวกก็ไปได้ละ นั่น ท่านเปิดแล้ว กี่วันก็ตามถวายความคิดเห็นของตัวเองแล้วทิ้งไว้เลย ถวายท่านไว้เลย แล้วแต่ท่านจะพิจารณาเห็นสมควรเมื่อไร เมื่อท่านเห็นสมควรแล้วท่านก็จะบอก เอ้อ ที่ท่านมหาอยากจะไปเที่ยววิเวกก็ไปได้ละ แล้วจะไปทางไหนล่ะ ท่านถาม คือท่านเห็นหมดท่านเที่ยวผ่านมาแล้ว คราวนี้คิดว่าจะไปทางนั้น เออ ที่นั่นดี แถวนั้นดี แล้วจะไปกี่องค์ พอว่าไปองค์เดียวท่านขึ้นทันทีเลย คือท่านช่วยสนับสนุน
พอว่าจะไปองค์เดียว เออ ท่านมหาต้องไปองค์เดียว ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ชี้ส่ายนิ้วไปตามพระเณรนั่ง ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ท่านมหาท่านจะไปองค์เดียว เป็นอย่างนั้นกับเราทุกครั้ง เราก็ไม่เคยสนใจว่าใครเป็นยังไงต่อยังไง เพราะเราก็พุ่งๆ ของเราคนเดียว เวลาไปก็คนเดียวตลอดเรา เราไม่เคยคิดว่าจะมีลูกศิษย์ลูกหามากมายอย่างนี้นะ เป็นคนเดียวตลอด ออกปฏิบัติเป็นเวลา ๙ ปี ตั้งแต่พรรษา ๗ สอบเปรียญได้พรรษา ๗ ออกพรรษานั้นเลย เพราะตั้งสัจจอธิษฐานไว้แล้วว่าเมื่อเรียนหนังสือถึงขั้นเปรียญสามประโยคแล้วพอเป็นปากเป็นทางในการประพฤติปฏิบัติ ไม่ขัดข้องแหละ เพราะฉะนั้นจึงตั้งสัจจะไว้ตรงนั้น พอเรียนจบนี้แล้วจะออกโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ไม่มีข้อแม้
พอจบนั่นปั๊บออกเลยจริงๆ อะไรห้ามไม่อยู่ แต่ก็เดชะนะ ไปได้ รอดไปทุกที พ้นไปได้ ไปได้จริงๆ เพราะธรรมดามีครูบาอาจารย์อยู่บนหัวเรา ถ้าท่านไม่ให้ไปเราจะฝืนได้อย่างไร แต่มันก็พอดีเป็นโอกาส หากมีที่จะได้ไปบางทีท่านออกไปต่างจังหวัดเสียบ้าง ไปตรงนั้น นี่ละที่นี่ออก ออกคนเดียวเลย เมื่อไปฟังอรรถธรรมของพ่อแม่ครูจารย์มั่นแล้วนี้มันถึงใจนะ เรี