คำถาม 
โดย : คนเมืองนนท์ ถามเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2547

พิจารณากายกับจิตจนเห็นภัยในภพ

กราบเท้าพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัวที่เคารพอย่างสูง
กระผมมีเรื่องจะเรียนถามหลวงตาดังนี้ครับ

1. กระผมพิจารณากายในชีวิตประจำวัน และมีการพักจิตในอานาปานสติเป็นบางครั้ง ระยะหลังนี้พบว่าหลังจากจิตเดินปัญญาไปในระยะหนึ่ง จิตจะสงบนิ่งเข้ามาอยู่ที่จิต(แต่จิตก็ยังสามารถรู้เรื่องภายนอกได้อยู่ตามปกติ เพียงแต่ว่าการพิจารณาเป็นรองจากความสงบนิ่ง) กระผมขอกราบเรียนถามพ่อแม่ครูอาจารย์ฯว่า ควรจะออกไปพิจารณากายต่อหรือว่าจะปล่อยให้จิตสงบนิ่งอยู่ต่อไปครับ

2. ในความสงบของจิตนั้น กระผมได้พิจารณาจิตดูอีกที พบว่าจิตที่สงบนั้น มีความสว่างอยู่ แต่ในความสว่างนี้ถ้าพิจารณาเข้าไปดีๆจะพบว่า มีโมหะความหลงครอบอยู่ ซึ่งถ้าปัญญารู้ทันความหลงก็หลุดไป แต่สักพักความหลงก็จะกลับเข้ามาใหม่ สู้กลับไปกลับมาระหว่างความหลงกับไม่หลงอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ อยากกราบเรียนถามพ่อแม่ครูอาจารย์ฯว่ากระผมจะผ่านจุดนี้ไปได้อย่างไรครับ

3.  และในบางคราวจิตของกระผมก็ได้พิจารณาเห็นภพต่างๆที่เกิดขึ้นกับจิต ทั้งที่ดี เช่น ความสงบความเย็น และที่ไม่ดี เช่น กิเลสต่างๆ เกิดขึ้นหมุนวนไปมาเป็นวัฏจักร  ซึ่งพบว่าทั้งความดีและไม่ดีล้วนเป็นทุกข์แก่จิตทั้งสิ้น แต่จิตก็มีปัญญาพิจารณาได้แต่เพียงเท่านี้ จึงอยากจะขออุบายธรรมจากพ่อแม่ครูอาจารย์ฯเพื่อความก้าวหน้าต่อไปครับ

กราบขอบพระคุณในคำตอบของพ่อแม่ครูอาจารย์ฯและกราบขอขมาหากกระผมได้ประมาทพลาดพลั้งไปครับ

คำตอบ
เมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2547

เรียนคุณผู้ใช้นามคนเมืองนนท์
หลวงตาเมตตาแสดงธรรมตอบจิตตภาวนาให้คุณ
เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๔๗ ณ วัดป่าบ้านตาด  ดังนี้

โยม           :     ข้อที่หนึ่ง กระผมพิจารณากายในชีวิตประจำวัน และมีการพักจิตในอานาปานสติเป็นบางครั้ง ระยะหลังนี้พบว่าหลังจากจิตเดินปัญญาไปในระยะหนึ่ง จิตจะสงบนิ่งเข้ามาอยู่ที่จิต แต่จิตก็ยังสามารถรู้เรื่องภายนอกได้อยู่ตามปกติ เพียงแต่ว่าการพิจารณาเป็นรองจากความสงบนิ่ง กระผมขอกราบเรียนถามพ่อแม่ครูอาจารย์ว่า ควรจะออกไปพิจารณากายต่อหรือว่าจะปล่อยให้จิตสงบนิ่งอยู่ต่อไปครับ

หลวงตา     :     อ๋อ เวลาสงบมันก็สงบ เหมือนเรานอนหลับเวลาตื่นมันก็ตื่น  อันนี้ก็เหมือนกันเวลาสงบเท่ากับนอนหลับ คือสงบจิตไม่ต้องใช้กิริยาอาการใดๆ ไม่ว่าจะปัญญาไม่ว่าอะไรก็ตาม หยุด ให้จิตมีความสงบแน่ว พักตัวอยู่นั้น เรียกว่าเอากำลัง พอจิตเคลื่อนออกมาจากสมาธิ จากความสงบแล้วให้ทำงานได้แก่การพิจารณาอย่างนี้ ถูกต้องแล้ว เอ้าว่าไป

โยม           :     ข้อที่สองครับ  ในความสงบของจิตนั้นกระผมได้พิจารณาจิตดูอีกที พบว่าจิตที่สงบนั้นมีความสว่างอยู่ แต่ในความสว่างนี้ถ้าพิจารณาเข้าไปดีๆ จะพบว่า มีโมหะความหลงครอบอยู่ ซึ่งถ้าปัญญารู้ทันความหลงก็หลุดไป แต่สักพักความหลงก็จะกลับเข้ามาใหม่ สู้กลับไปกลับมาระหว่างความหลงกับไม่หลงอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ อยากกราบเรียนถามพ่อแม่ครูอาจารย์ว่ากระผมจะผ่านจุดนี้ไปได้อย่างไรครับ

หลวงตา     :     อย่าไปอ่านเรื่องความหลงหรือไม่หลง ให้พิจารณาสิ่งที่เคยพิจารณาแล้ว อสุภะอสุภัง ให้อยู่ตรงนั้น เรื่องหลงไม่หลงมันเป็นสิ่งหนึ่งของมัน พอทางนี้แก่กล้าเข้าไป ความหลงของเรามันจะลดลงๆๆ พออันนี้จ้าแล้วหมดความหลง เข้าใจเหรอ

โยม           :     ข้อที่สามครับ บางคราวจิตของกระผมก็ได้พิจารณาเห็นภพต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับจิต ทั้งที่ดี เช่น ความสงบความเย็น และที่ไม่ดี เช่น กิเลสต่างๆ เกิดขึ้นหมุนวนไปมาเป็นวัฏจักร ซึ่งพบว่าทั้งความดีและไม่ดีล้วนเป็นทุกข์แก่จิตทั้งสิ้น แต่จิตก็มีปัญญาพิจารณาได้แต่เพียงเท่านี้ จึงอยากจะขออุบายธรรมจากพ่อแม่ครูอาจารย์ฯเพื่อความก้าวหน้าต่อไปครับ

หลวงตา     :     อันนี้ก็แบบเดิมนั่นแหละ ให้พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า สิ่งเหล่านี้มันจะค่อยกระจ่าง จะละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ เข้าใจเหรอ มีเท่านั้นไม่พูดมาก

โยม           :     นี่เขากราบขอบพระคุณ จากคนเมืองนนท์ครับ

หลวงตา     :     เออ
                                                   ________

คุณสามารถกดรับชมวิดีโอหรืออ่านเทศน์กัณฑ์นี้เต็มกัณฑ์ได้ที่
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=2749&CatID=0

<< BACK

 


หน้าแรก